พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,168 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2041/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รถยนต์ถูกริบแล้ว ผู้ซื้อโดยสุจริตก็ไม่ได้รับกรรมสิทธิ์
เมื่อศาลพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางแล้ว เจ้าของรถไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้นอีกต่อไป ผู้ร้องซื้อรถยนต์ของกลางขณะที่ผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ แม้ผู้ร้องจะซื้อโดยสุจริตและแก้ทะเบียนเป็นของผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางไม่มีสิทธิร้องขอรถยนต์ของกลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2041/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ถูกริบเมื่อศาลมีคำพิพากษา แม้ซื้อโดยสุจริตก็ไม่ได้รับกรรมสิทธิ์
เมื่อศาลพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางแล้ว เจ้าของรถไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้นอีกต่อไปผู้ร้องซื้อรถยนต์ของกลางขณะที่ผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ แม้ผู้ร้องจะซื้อโดยสุจริตและแก้ทะเบียนเป็นของผู้ร้องแล้วผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางไม่มีสิทธิร้องขอรถยนต์ของกลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1749/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สั่งจ่ายเช็คต้องรับผิดชอบต่อผู้ทรงโดยสุจริต แม้จะอ้างว่าออกเช็คเพื่อค้ำประกันและมีการห้ามจ่าย
ผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คผู้ถือต้องรับผิดต่อผู้ถือซึ่งเป็นผู้ทรงเมื่อไม่มีข้อต่อสู้ว่าผู้ทรงรับโอนโดยไม่สุจริตอย่างใดก็ไม่มีข้อที่ต้องสืบพยาน อุทธรณ์ฎีกาขอให้สืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ เป็นคำขอไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1716/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การติชมเจ้าพนักงานด้วยความสุจริตและเป็นธรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
บุตรจำเลยถูกตำรวจจับข้อหาขับรถจักรยานยนต์ไม่มีใบขับขี่ไม่เสียภาษีขับรถเป็นที่น่าหวาดเสียว และรถถูกยึดไปไว้ที่สถานีตำรวจ จำเลยไปติดต่อกับโจทก์ซึ่งเป็นสารวัตรจราจร เพื่อขอรับรถคืน โจทก์เป็นเจ้าพนักงานที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่เกี่ยวกับคดีที่บุตรจำเลยต้องหา แทนที่จะพูดให้จำเลยเข้าใจ กลับพูดแรงไป การที่จำเลยส่งข้อความไปลงหนังสือพิมพ์ถึงอธิบดีกรมตำรวจซึ่งเป็นเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์ มีใจความเป็นการแสดงความเสียใจน้อยใจของจำเลย และขอร้องให้ผู้ใหญ่ในกรมตำรวจสอดส่องตักเตือนตำรวจให้พูดจาแนะนำประชาชนในสิ่งที่ประชาชนไม่รู้อย่างสุภาพ เพื่อให้ตำรวจเข้ากับประชาชนได้ จึงเป็นการติชมโจทก์ด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ และจำเลยลงข้อความนั้นโดยสุจริตตามเรื่องที่เกิดแก่จำเลย กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทและฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมย่อมมีอยู่แม้จำเลยซื้อที่ดินโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิ โดยไม่ทราบถึงภารจำยอม
โจทก์ใช้ทางผ่านที่ดินจำเลยมากว่า 10 ปี ได้ภารจำยอมจำเลยอ้างว่าจดทะเบียนซื้อที่ดินมาโดยสุจริตไม่ทราบว่ามีทางภารจำยอมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทอดตลาดที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ราคาต่ำกว่าประเมิน ไม่มีเหตุเพิกถอน หากไม่มีพฤติการณ์ไม่สุจริต
จำเลยทราบกำหนดวันขายทอดตลาดทรัพย์ดีแล้ว และขายได้ราคาสูงกว่าราคาประเมิน แม้ต่ำกว่าราคาปานกลาง ไม่มีพฤติการณ์ว่าไม่สุจริตไม่มีเหตุจะยกเลิกการขายทอดตลาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินโดยไม่สุจริต ผู้รับโอนไม่มีสิทธิครอบครอง แม้จะซื้อโดยสุจริต
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ได้มอบให้จำเลยที่ 1 ครอบครองดูแลแทน จำเลยที่ 1 แอบไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทแล้วโอนขายให้จำเลยที่ 2 ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้น ดังนี้ แม้คำฟ้องจะมิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต แต่ถ้าได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นแต่เพียงครอบครองดูแลแทน ได้ไปขอออก น.ส.3 ลงชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโดยไม่ชอบจริงตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ก็ไม่กลายเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และจำเลยที่ 2 ผู้รับโอนก็ไม่มีสิทธิดีไปกว่าจำเลยที่ 1 แม้จะได้รับโอนที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จะอ้างความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 หาได้ไม่ คดีจึงจำเป็นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 เพียงแต่ยึดถืออยู่ในฐานะผู้แทนโจทก์จริงดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องหรือไม่ ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคืนของกลางต้องสุจริต ผู้ขอคืนต้องเป็นผู้เสียหายจริง มิใช่ตัวแทนผู้กระทำผิด
ผู้ร้องให้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ อ.ระหว่างอ.ส่งชำระค่าเช่าซื้อเหลืออีก 8 งวด จำเลยที่ 1 ได้นำรถยนต์ดังกล่าวไปขนไม้เถื่อนด้วยความรู้เห็นของอ.ผู้ร้องประสงค์เพียงค่าเช่าซื้อที่ค้างคืนส่วนการขอคืนรถยนต์ของกลางในคดีนี้แท้จริงเป็นความประสงค์ของ อ. ผู้ร้องยอมให้ อ.ใช้ชื่อผู้ร้องบังหน้าในการขอคืนของกลาง ดังนี้ถือว่าเป็นการขอคืนของกลางเพื่อประโยชน์ของ อ.ผู้รู้เห็นในการกระทำความผิดกรณีไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งคืนให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในความผิดอาญา การกระทำโดยสุจริตและเชื่อโดยชอบธรรมเป็นเหตุยกเว้นความรับผิด
จำเลยเป็นข้าราชการบำนาญได้รับแต่งตั้งเป็นรองอธิการบดีรับเงินสมนาคุณจากงบประมาณแผ่นดินประเภทค่าทดแทนจำเลยซื้อที่ดินในนามของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในฐานะผู้รับมอบอำนาจจาก ป. ภรรยาจำเลยร่วมกัน แล้วจำเลยดำเนินการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมส่วนของ ป. อยู่ติดชายทะเลไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะจำเลยจึงดำเนินการจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ที่ดินของ ป. ใช้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะเช่นนี้ จำเลยอาจเข้าใจผิดคิดว่าน่าจะทำได้ เพื่อจะได้ไม่ยุ่งยากภายหลังในพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยน่าจะเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยทำได้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดอาญา ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา152
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเพิกถอนเครื่องหมายการค้า: ต้องมีการโต้แย้งสิทธิ หรือความสุจริตในการใช้เครื่องหมาย
กรณีที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า ฯ นั้น ถ้าเป็นกรณีตามมาตรา 16 ก็เป็นเรื่องนายทะเบียนมีหนังสือปฏิเสธไม่ยอมรับจดทะเบียนเพราะเหมือนกับเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนไว้แล้ว หรือมีการโต้แย้งคัดค้านการขอจดทะเบียนตามมาตรา 22, 23 อันเป็นการโต้แย้งสิทธิกัน ส่วนกรณีที่จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโดยอ้างเหตุตามมาตรา 42 คือจดทะเบียนไว้โดยมิได้ตั้งใจสุจริตที่จะใช้เป็นเครื่องหมายการค้านั้น ก็ต้องมีการโต้แย้งสิทธิและทำเป็นคำฟ้องเช่นเดียวกัน (อ้างฎ๊กาที่ 232/2504)
คำบรรยายฟ้องของโจทก์มีเพียงว่า นายทะเบียนไม่ยอมพิจารณาคำขอทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ แต่เมื่อไม่ปรากฏว่านายทะเบียนปฏิเสธไม่ยอมรับจดทะเบียนตามมาตรา 16 หรือจำเลยคัดค้านการขอจดทะเบียนของโจทก์ตามมาตรา 22 ดังนี้ย่อมไม่มีการโต้แย้งสิทธิ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามบทมาตราดังกล่าว ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าจำเลยมิได้ตั้งใจสุจริตที่จะใช้เครื่องมหายการค้าอันได้จดทะเบียนไว้ อันเป็นการฟ้องโดยอ้างเหตุตามมาตรา 42 นั้น การฟ้องตามมาตรานี้ก็ต้องเป็นกรณีที่มีการโต้แย้งสิทธิเช่นเดียวกัน คือโจทก์จะใช้เครื่องหมายการค้าแบบที่จำเลยจดทะเบียนไว้ก่อน แต่โจทก์กลับบรรยายฟ้องง่าเครื่องหมายการค้าตราเสือที่ขอจดทะเบียนนั้นไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าตราเสือที่จำเลยจดทะเบียนไว้ เช่นนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา 42 นี้ด้วย
คำบรรยายฟ้องของโจทก์มีเพียงว่า นายทะเบียนไม่ยอมพิจารณาคำขอทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ แต่เมื่อไม่ปรากฏว่านายทะเบียนปฏิเสธไม่ยอมรับจดทะเบียนตามมาตรา 16 หรือจำเลยคัดค้านการขอจดทะเบียนของโจทก์ตามมาตรา 22 ดังนี้ย่อมไม่มีการโต้แย้งสิทธิ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามบทมาตราดังกล่าว ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าจำเลยมิได้ตั้งใจสุจริตที่จะใช้เครื่องมหายการค้าอันได้จดทะเบียนไว้ อันเป็นการฟ้องโดยอ้างเหตุตามมาตรา 42 นั้น การฟ้องตามมาตรานี้ก็ต้องเป็นกรณีที่มีการโต้แย้งสิทธิเช่นเดียวกัน คือโจทก์จะใช้เครื่องหมายการค้าแบบที่จำเลยจดทะเบียนไว้ก่อน แต่โจทก์กลับบรรยายฟ้องง่าเครื่องหมายการค้าตราเสือที่ขอจดทะเบียนนั้นไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าตราเสือที่จำเลยจดทะเบียนไว้ เช่นนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา 42 นี้ด้วย