พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4457/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีอาญา: เจตนาลงโทษจำเลยในความผิดร้ายแรงเป็นสำคัญ
การห้ามไม่ให้อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ถือเจตนาของโจทก์เป็นสำคัญ หากโจทก์มีเจตนาที่จะให้ลงโทษจำเลยในความผิดที่มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายให้จำคุกเกินกว่าสามปีแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะฟังข้อเท็จจริงว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลในความผิดที่โจทก์ขอให้ลงโทษ ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเฉพาะในข้อหาความผิดที่มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายให้จำคุกเกินสามปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาหมั้นผิดนัด: พฤติการณ์แสดงเจตนาไม่ประสงค์จะอยู่กินเป็นสามีภริยา ทำให้ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยผิดสัญญา
พยานโจทก์และพยานจำเลยเบิกความยันกันแต่จากพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยยังประสงค์จะอยู่กินเป็นสามีภริยากับโจทก์ส่วนโจทก์กลับไม่ประสงค์เช่นนั้นจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์อันจะเป็นการผิดสัญญาหมั้นดังฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4152/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน: การซื้อขายที่ดินซ้อนทับและเจตนายึดถือเพื่อตน
ที่ดินส.ค.1ที่โจทก์ซื้อมาจากล. เป็นคนละส่วนกับที่ดินที่กระทรวงการคลังซื้อจากข.เพื่อใช้ในราชการกรมตำรวจเมื่อโจทก์ซื้อที่ดินจากล.แล้วโจทก์ได้เข้ายึดถือครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยเจตนายึดถือเพื่อตนโจทก์จึงได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1367
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4145/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน: คำมั่นสัญญาฝ่ายเดียวไม่ผูกพันจนกว่าจำเลยแสดงเจตนาจะขาย
ตามสัญญาข้อ15ระบุว่าผู้จะซื้อ(โจทก์)สัญญาว่าจะซื้อที่ดินส่วนอื่นข้างเคียงของผู้จะขาย(จำเลย)ในราคาไร่ละ1,200,000บาทภายในกำหนดหนึ่งปีนับจากวันโอนโดยตามสัญญาข้ออื่นไม่มีความตอนใดระบุว่าจำเลยยอมตกลงจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ข้อความในสัญญาข้อ15จึงเป็นเพียงคำมั่นของโจทก์ฝ่ายเดียวที่แสดงความประสงค์ขอซื้อที่ดินของจำเลยเท่านั้นต่อเมื่อจำเลยได้บอกกล่าวความจำนงว่าจะทำการซื้อขายให้สำเร็จตลอดไปและคำบอกกล่าวนั้นได้ไปถึงโจทก์ผู้ให้คำมั่นแล้วจึงจะมีผลเป็นสัญญาจะซื้อจะขายและบังคับให้ปฎิบัติตามสัญญาได้เมื่อไม่ปรากฎว่าจำเลยได้แสดงความจำนงจะขายที่ดินแก่โจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ปฎิบัติตามสัญญาหรือเรียกค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3992/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ต่อการหมิ่นประมาทจากบทสัมภาษณ์ แม้ไม่มีเจตนา
แม้จำเลยที่1จะ ไม่มี เจตนา หมิ่นประมาทโจทก์ร่วมและลงพิมพ์ข้อความไปตามคำสัมภาษณ์ของจำเลยที่2ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบความเป็นไปในพรรคการเมืองนั้นก็ตามแต่เมื่อหนังสือพิมพ์ซึ่งจำเลยที่1เป็น บรรณาธิการลงข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมจำเลยที่1ก็ย่อมมีความผิดในฐานะเป็น ตัวการตามพระราชบัญญัติการพิมพ์พ.ศ.2484มาตรา48 ศาลล่างลงโทษปรับจำเลยทั้งสองตาม อัตราโทษของกฎหมายที่ใช้บังคับภายหลังการกระทำผิดซึ่งมีโทษปรับสูงกว่ากฎหมายเดิมจึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองและไม่อาจนำกฎหมายดังกล่าวมาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3961/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้ดอกเบี้ยและเจตนาการจำนอง: ศาลชอบธรรมที่จะไม่รับคำแก้ต่างเรื่องอายุความ
ตามคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยมีใจความว่า จำเลยขอแก้ไขคำให้การของจำเลยเกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นสถาบันการเงินมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตาม พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 แสดงว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเช่นเดียวกับธนาคารซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ และโจทก์จำเลยมีเจตนาแท้จริงที่จะจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงิน 240,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยเกินกว่า 5 ปี การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ.มาตรา745 คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นการยกข้อต่อสู้ว่าหนี้ดอกเบี้ยตามฟ้องขาดอายุความแล้ว ซึ่งปัญหาเรื่องอายุความในทางแพ่งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวของจำเลยจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3931/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน: การยิงต่อเนื่องโดยมีเจตนาต่างกัน ถือเป็นหลายกรรม
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองและผู้ตายรวม4นัดนัดแรกยิงผู้เสียหายที่1เพราะผู้เสียหายที่1ต่อว่าจำเลยที่นำเอาอาวุธปืนออกมาขู่ครั้นผู้เสียหายที่2ส่งเสียงร้องหวีดเพราะตกใจที่เห็นจำเลยยิงผู้เสียหายที่1จำเลยก็ยิงผู้เสียหายที่2เป็นนัดที่2เมื่อผู้ตายยกมือไหว้และขอร้องจำเลยอย่ายิงจำเลยก็ยิงผู้ตายเป็นนัดที่3ก่อนไปจำเลยเห็นผู้เสียหายที่2ที่ถูกยิงยังไม่ตายจึงได้ยิงซ้ำอีก1นัดแสดงว่าการยิงปืนแต่ละนัดตามประสงค์และจุดมุ่งหมายของจำเลยได้แยกออกจากกันว่าการยิงนัดใดจำเลยยิงผู้เสียหายทั้งสองและผู้ตายคนใดเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองและผู้ตายในขณะลงมือกระทำผิดจึงแยกออกจากกันได้การกระทำของจำเลยจึงมิใช่กรรมเดียวแต่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินหวงห้าม: ผู้ซื้อรู้เท่าไม่ถึงการณ์มิอาจอ้างความไม่รู้ได้ แม้มี ส.ค.1
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่6โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานให้แก่กองทัพเรือตั้งแต่พ.ศ.2465และต่อมาได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นเขตหวงห้ามสำหรับใช้ในราชการทหารพร้อมด้วยแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อพ.ศ.2479ให้ประชาชนทราบแล้วทั้งต่อมาพ.ศ.2528กรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุโดยมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วดังนี้ย่อมถือว่าประชาชนทุกคนได้ทราบแล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินหวงห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าไปยึดถือครอบครองเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แม้มีการแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินส.ค.1ก็ตามแต่แบบแจ้งการครอบครองส.ค.1ก็มิใช่คำอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่จึงย่อมอ้างไม่ได้ว่าผู้เข้าไปยึดถือครอบครองในที่ดินไม่มีเจตนาเข้าไปในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่หวงห้ามได้ จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากณ.เมื่อพ.ศ.2530ภายหลังที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับแล้วย่อมถือว่าจำเลยรู้อยู่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่หวงห้ามเมื่อจำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจำเลยย่อมมีความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ การที่จำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทก็เพื่อยึดถือครอบครองและปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาทการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยเขตปลอดภัยในราชการทหารพ.ศ.2478มาตรา5,7(3)และประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ.2497มาตรา9(1),108ทวิวรรคสองเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทจึงต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ.2497มาตรา9(1),108ทวิวรรคสองซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3098/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชี ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี
ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ช.16090/2538 ของศาลชั้นต้นจำเลยฟ้องว่า โจทก์ออกเช็คจำนวนเงิน 50,000 บาท นำมาแลกเงินสดจากจำเลยต่อมาธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของโจทก์เป็นความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 ซึ่งประเด็นข้อสำคัญในคดีมีว่าโจทก์ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยทุจริตหรือไม่ การที่จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวว่า โจทก์นำเช็คจำนวนเงิน 200,000 บาท มาแลกเงินสดไปจากจำเลย จำเลยได้จ่ายเป็นเงินสด 6,000 บาท จ่ายเป็นเช็ค 144,000 บาท และเป็นแคชเชียร์เช็ค 50,000 บาท จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแลกเงินสดตามเช็คอีกฉบับหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวกับเช็คฉบับที่จำเลยฟ้องโจทก์ ทั้งไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี ดังนั้นแม้จำเลยเบิกความว่า "ข้าพเจ้าจ่ายเป็นเงินสด 6,000 บาท" จะเป็นความเท็จก็มิใช่ข้อสำคัญในคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3092/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญาเช่าตามเจตนาของคู่สัญญาและผลกระทบของการยึดทรัพย์โดยผู้ให้เช่า
การตีความสัญญาจะต้องตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 คู่สัญญาทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มีกำหนดระยะเวลา28 ปี แสดงว่า คู่สัญญาประสงค์จะให้สัญญาเช่ามีอยู่จนครบกำหนดระยะเวลาเช่าตามที่ได้จดทะเบียนการเช่าไว้และย่อมไม่ประสงค์จะให้ผู้ให้เช่ามีสิทธิเลิกสัญญาได้ก่อนครบกำหนด เมื่อทรัพย์ที่เช่าถูกยึดตามคำสั่งศาลเพราะการกระทำของผู้ให้เช่าเดิมมิใช่เกิดจากการกระทำของจำเลย สัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดโจทก์เป็นผู้รับโอนทรัพย์ที่เช่าย่อมรับมาทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่าด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 569 โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าและฟ้องขับไล่จำเลย