คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11181/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพ.ร.บ.คนเข้าเมือง: การพาคนต่างด้าวเข้าไทยต้องแสดงเจตนาชัดเจน
ความผิดฐานพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏว่าจำเลยเป็นคนนำหรือพาคนต่างด้าวจากนอกราชอาณาจักรเข้ามาในราชอาณาจักรหรือกระทำการด้วยประการใด ๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวจากนอกราชอาณาจักรให้เข้ามาในราชอาณาจักร โดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.นี้ จำเลยเพียงแต่ไปชักชวน ว. บ. และ พ. ที่ราชอาณาจักรกัมพูชาให้เข้ามาขอทาน แล้วจำเลยนำรถตู้มารับบุคคลทั้งสามในราชอาณาจักรไทยที่ตลาดโรงเกลือ จังหวัดสระแก้ว โดยตัวจำเลยไม่ได้เป็นคนไปพาบุคคลทั้งสามจากนอกราชอาณาจักรเข้ามาในราชอาณาจักรหรืออุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวทั้งสามในการเดินทางจากนอกราชอาณาจักรเข้ามาในราชอาณาจักร และคนต่างด้าวทั้งสามก็ยังจ่ายเงินให้จำเลยที่จังหวัดระยอง จำเลยจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเดินทางจากนอกราชอาณาจักรเข้ามาในราชอาณาจักรของ ว. บ. และ พ. จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10915/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการพิสูจน์ความผิด จำเลยทั้งหมดพ้นผิด
ส. เป็นผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของคนร้ายโดยตรง ส. จึงมีอำนาจฟ้องคดีอาญาหรือยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 28 และมาตรา 30 และหาก ส. ไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ ผู้สืบสันดานและภริยาของ ส. ย่อมมีอำนาจจัดการแทน ส. ได้ แต่กฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ประการสำคัญไว้ใน มาตรา 5 (2) แห่ง ป.วิ.อ. ว่า ผู้สืบสันดานและภริยาจะจัดการแทนผู้เสียหายได้เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ เมื่อพิจารณาคำบรรยายฟ้องของโจทก์แล้วได้ใจความว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ของ ส. ไปและร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ผลักและฉุดกระชาก ส. เข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้งห้ากับพวก อันเป็นการข่มขืนใจ ส. ให้ต้องจำยอมเข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้งห้ากับพวกด้วยการทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือเสรีภาพ และขณะนี้ไม่ทราบว่า ส. ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ซึ่งแม้คำบรรยายฟ้องดังกล่าวจะแสดงว่า จำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันใช้กำลังทำร้าย ส. แต่เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องยืนยันว่า ส. เสียชีวิตแล้ว กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่า ส. ถูกทำร้ายถึงตายตามความหมายของกฎหมาย อีกทั้งการที่จำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายผลักและฉุดกระชาก ส. เข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้งห้ากับพวกก็ไม่ได้ความตามคำฟ้องของโจทก์ว่าเป็นเหตุให้ ส. ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ และแม้ต่อมาในปี 2552 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่งแสดงว่า ส. เป็นคนสาบสูญซึ่งถือว่าถึงแก่ความตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 62 ก็ตาม แต่ก็เป็นการตายโดยผลของกฎหมาย มิใช่เป็นกรณีถูกทำร้ายถึงตายตามความเป็นจริง เมื่อในขณะที่ภริยาและผู้สืบสันดานของ ส. ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในปี 2547 และปี 2548 ตามลำดับ ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ส. ถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ ประกอบกับโจทก์แถลงยอมรับต่อศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาว่า อ. ภริยาของ ส. ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของ อ. โจทก์ร่วมที่ 1 และบุตรของ ส. โจทก์ร่วมที่ 2 ถึงที่ 5 จึงเป็นไปโดยถูกต้องและชอบด้วยหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10625/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าใช้จ่ายเลือกตั้งใหม่: จำเลยไม่ต้องชดใช้ หากการกระทำผิดไม่ได้เจตนาต่อการเลือกตั้ง
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 158 บัญญัติว่า "ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษผู้ใดฐานกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้และผู้นั้นเป็นผู้กระทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม หรือเป็นผู้กระทำการใดอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้งตามมาตรา 140 วรรคสอง อันเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งหรือเขตเลือกตั้งใด ให้ศาลมีคำพิพากษาว่าผู้นั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่นั้นด้วย..." ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าผู้ที่กระทำความผิดตามมาตรา 158 จะต้องกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 แต่การที่จำเลยซึ่งได้รับการประกาศผลตามกฎหมายให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาแล้วแต่จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ จนกระทั่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษและให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นผลทำให้ตำแหน่งวุฒิสภาว่างลงและโจทก์ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ก็ตามซึ่งเป็นกรณีที่จำเลยกระทำการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวมิได้เป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 แต่อย่างใด เมื่อกฎหมายได้บัญญัติถึงกรณีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่เป็นการเฉพาะดังกล่าวข้างต้นแล้ว การที่จะนำบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 420 มาใช้บังคับ ก็ต้องได้ความชัดว่า จำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความ กฎหมายกำหนดให้จำเลยยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มิได้มีบทบังคับให้จำเลยต้องยื่นต่อโจทก์ ส่วนการที่โจทก์ต้องเสียงบประมาณจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ก็เป็นผลแห่งคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่จะทำให้โจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการเลือกตั้งใหม่แต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตได้ การบรรยายฟ้องและองค์ประกอบความผิด
เมื่อฟ้องโจทก์บรรยายว่า กระสุนปืน ขนาด .223 (5.56 มม.) เป็นเครื่องกระสุนปืนสามารถใช้ยิงร่วมกับอาวุธปืนที่มีกลไกบรรจุกระสุนปืนเองและสามารถยิงซ้ำได้ และยิงเป็นชุดหรือยิงกล และมีขนาดความยาวของลำกล้องเกิน 160 มม. ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2522) ข้อ 2 ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 ฟ้องโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองแล้ว โดยไม่จำต้องบรรยายให้เห็นว่า เครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นเครื่องกระสุนปืนชนิตเจาะเกราะหรือชนิดกระสุนเพลิง ซึ่งเป็นข้อยกเว้นตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2522) ข้อ 3 ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1034/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่โดยตรง การลงมติไม่มีอำนาจหน้าที่ ไม่เป็นความผิด ม.157
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 จะต้องเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งอยู่ในหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้นเองโดยมิชอบด้วยเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริต ถ้าไม่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตราดังกล่าว ขณะเกิดเหตุอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดชลบุรี เป็นอำนาจหน้าที่ของเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 มาตรา 30 จำเลยทั้งหกมีอำนาจตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายตามมาตรา 13 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมิได้กำหนดให้จำเลยทั้งหกในฐานะคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งโยกย้ายพนักงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง การที่จำเลยทั้งหกมีการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดชลบุรีแล้วมีมติว่า ให้ส่งตัวโจทก์คืนสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและให้แต่งตั้งหัวหน้างานสืบสวนสอบสวนคนใหม่แทนโจทก์ จำเลยทั้งหกกระทำไปโดยไม่มีอำนาจหน้าที่ ทั้งไม่ปรากฏว่าหลังจากจำเลยที่ 1 ทำหนังสือขอส่งตัวโจทก์คืนไปยังเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เลขาธิการมีคำสั่งเกี่ยวกับหนังสือดังกล่าวอย่างไร การที่โจทก์ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็เป็นเวลาตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2548 ก่อนที่จะมีมติดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ได้รับคำสั่งให้ช่วยราชการต่อเนื่องกันมาจนถึงวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 ตามคำสั่งของเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยไม่ปรากฏว่าการมีคำสั่งดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการลงมติของจำเลยทั้งหกที่ให้ส่งตัวโจทก์คืน การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จึงหาใช่เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ หรือเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ป.อ. มาตรา 157 แต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10073/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสอบถามจำเลยในศาลชั้นต้นเป็นไปตามหลักวิธีพิจารณาหรือไม่ หากไม่เป็นไปตาม จะส่งผลต่อคำพิพากษาในความผิดฐานมีพืชกระท่อม
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลและศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง คำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การก็ให้ศาลจดรายงานไว้ และดำเนินการพิจารณาต่อไป คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ๆ ซึ่งรถยนต์โดยตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร และฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว ต้องสอบถามจำเลยด้วยว่าจะให้การรับสารภาพในความผิดฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ๆ ซึ่งรถยนต์โดยตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร และฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าว เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งรถยนต์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของยังมิได้เสียภาษี การที่ศาลชั้นต้นมิได้สอบถามคำให้การของจำเลยให้ชัดแจ้ง กลับพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบและมีผลให้กระบวนพิจารณาต่อไปตลอดจนคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีพืชกระท่อมในครอบครองเพื่อจำหน่าย และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ไม่ชอบไปด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9690/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพกพาอาวุธปืนของเจ้าพนักงานตำรวจโดยได้รับอนุญาตตามระเบียบ ไม่ถือเป็นความผิดฐานพาอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต
หนังสือของหัวหน้าฝ่ายสารสนเทศและทะเบียนอาวุธปืน ระบุว่า การได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนยังอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกอบกับตามประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 22 ข้อที่ 6 กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาชั้นสารวัตรสามารถอนุญาตให้ตำรวจที่อยู่ในบังคับบัญชาพกอาวุธปืนติดตัวไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการได้ ขณะเกิดเหตุ จำเลยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและมีใบอนุญาตเป็นบัตรพกพาอาวุธปืนระบุชัดแจ้งว่า เป็นการอนุญาตโดยอาศัยอำนาจตามประมวลระเบียบการตำรวจดังกล่าว พร้อมทั้งมีข้อความครบถ้วนและออกโดยผู้บังคับบัญชาชั้นสารวัตรของจำเลย ดังนี้ เท่ากับบัตรพกพาเป็นหลักฐานอันเป็นหนังสือที่แสดงว่าจำเลยได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาตามประมวลระเบียบการตำรวจอย่างถูกต้องแล้ว และขณะจำเลยถูกจับกุมยังอยู่ในช่วงเวลาที่ได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 969/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่า: พยานหลักฐานเชื่อมโยงจำเลยกับการใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แม้มีข้อต่อสู้
แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 และจำเลยที่ 11 ถึงที่ 14 รวมกันมา โดยโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ฐานเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปและบุคคลหนึ่งบุคคลใดถึงแก่ความตาย และบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัส และโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 11 ถึงที่ 14 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปและบุคคลหนึ่งบุคคลใดถึงแก่ความตายและบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัส แต่ก็เป็นการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 และจำเลยที่ 11 ถึงที่ 14 แต่ละฐานความผิดโดยถือเป็นคู่ความคนละฝ่ายต่างคนต่างทำ มิใช่ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ฉะนั้น คำเบิกความของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ยืนยันว่า จำเลยที่ 12 และที่ 13 กับพวกใช้อาวุธปืนคนละกระบอกยิงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 ที่บ้านของผู้เสียหายในวันเกิดเหตุ จึงไม่ใช่คำซัดทอดในระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน คำเบิกความของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงนำมารับฟังเพื่อหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และพยานหลักฐานของจำเลยที่ 12 และที่ 13 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9330/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จต้องเป็นข้อสำคัญในคดี หากไม่ส่งผลแพ้ชนะ ไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ
คดีก่อน บริษัท ย. ยื่นฟ้องโจทก์คดีนี้ว่า ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าที่ดินงวดเดือนกรกฎาคม 2551 ส่วนโจทก์ให้การต่อสู้ว่า ในทางปฏิบัติ บริษัท ย. จะต้องส่งใบแจ้งหนี้ก่อนแล้วโจทก์จึงจะชำระค่าเช่า แต่ในงวดดังกล่าวบริษัท ย. ไม่ได้ส่งใบแจ้งหนี้ ต่อมาโจทก์ตรวจสอบพบว่ายังค้างชำระค่าเช่าอยู่ จึงนำเงินไปชำระค่าเช่าในภายหลัง คำให้การของโจทก์ในคดีก่อนเท่ากับรับว่าตนชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 หลังจากครบกำหนดชำระไปแล้ว แต่มีข้อเถียงโดยยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ว่า แม้โจทก์จะชำระล่าช้าแต่ก็มิได้ผิดนัดเพราะบริษัท ย. ยังไม่ได้ส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่ตนตามที่เคยปฏิบัติ ฉะนั้นประเด็นแห่งคดีในคดีก่อนจึงมีว่า บริษัท ย. จะต้องออกใบแจ้งหนี้ค่าเช่างวดดังกล่าวให้แก่โจทก์เสียก่อนแล้วโจทก์จึงจะต้องชำระค่าเช่า หรือไม่ ดังนั้น คำเบิกความของจำเลยในคดีก่อนที่ว่า โจทก์ชำระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2551 อันเป็นการผิดนัดชำระค่าเช่า ทำให้สัญญาเช่าสิ้นสุดลง จึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8771/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการฟ้องคดีความผิด พ.ร.บ.เสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ สงวนไว้สำหรับรัฐเท่านั้น เอกชนผู้เสนอราคมิใช่ผู้เสียหาย
ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 3, 7, 12 รัฐเท่านั้นที่จะเป็นผู้เสียหายในการฟ้องคดีต่อผู้กระทำความผิด โจทก์ซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมเสนอราคาซึ่งเป็นเอกชนมิได้อยู่ในฐานะผู้เสียหายที่จะฟ้องร้องคดีเองได้
of 682