คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สิทธิ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,231 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3830/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเช่าที่แท้จริงเกินสี่พันบาท ไม่ขัดขวางสิทธิอุทธรณ์คดีขับไล่
โจทก์ฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตามหนังสือสัญญาเช่ามีข้อความเกี่ยวกับค่าเช่าว่าค่าเช่าเดือนละ1,000บาทและผู้เช่าชำระเงินกินเปล่าแล้วเมื่อเงินกินเปล่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าที่ชำระกันล่วงหน้าจึงต้องนำมาคำนวณเฉลี่ยรวมเป็นค่าเช่าด้วยเงินกินเปล่ามีจำนวน2,000,000บาทกำหนดเวลาเช่า11ปี6เดือนคิดเป็นค่าเช่าเฉลี่ยเดือนละ14,492.75บาทเมื่อรวมกับค่าเช่าปกติเดือนละ1,000บาทจึงเป็นค่าเช่าเดือนละ15,492.75บาทในขณะยื่นคำฟ้องซึ่งเป็นค่าเช่าที่เกินเดือนละสี่พันบาทจึงไม่ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคสอง ปัญหาว่าเงินกินเปล่าหรือค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเงินจำนวน250,000บาทตามที่ระบุในสัญญาเช่าที่โจทก์ฟ้องหรือเป็นจำนวนเงิน2,000,000บาทตามที่จำเลยอ้างกรณีก็ไม่ต้องห้ามที่จะนำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาเช่าตามมาตรา94(ข)เพราะข้อโต้เถียงเรื่องค่าเช่ามิใช่ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีจึงมิใช่กรณีที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3802/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเพื่อสิทธิในมรดก ศาลพิจารณาจากคำให้การและพยานหลักฐานประกอบ
แม้โจทก์จะเบิกความว่าโจทก์เป็นบุตรของถ. ตามสำเนาทะเบียนบ้านสำเนาทะเบียนนักเรียนใบสุทธิของโรงเรียนประชาบาลและใบสำคัญทหารนอกประจำการประเภทที่2และตามเอกสารดังกล่าวระบุว่าบิดาโจทก์ชื่อถ. ก็ตามแต่เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบอ้างอิงมายันจำเลยเท่านั้นจะถือตามเอกสารดังกล่าวโดยเด็ดขาดหาได้ไม่เพราะการที่ศาลรับฟังว่าโจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของถ.หรือไม่เป็นเรื่องที่ศาลต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่าย โจทก์เบิกความยอมรับว่าถ. ไม่ใช่บิดาที่แท้จริงของโจทก์บิดามารดาที่แท้จริงของโจทก์คือน. กับก. การที่โจทก์ฎีกาว่าเหตุที่โจทก์เบิกความไปเช่นนั้นเพราะโจทก์ถูกข่มขู่จากบุคคลภายนอกก่อนเข้าเบิกความโจทก์รู้สึกกลัวและเกิดความประหม่าและฟังคำถามค้านทนายความจำเลยไม่ชัดเจนจึงตอบหลงผิดไปนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเท่านั้นเมื่อเป็นข้อที่คู่ความไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และไม่ใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนฎีกาข้อนี้ของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3799/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทิน ทำให้จำเลยมีสิทธิได้รับการพิจารณาพักการลงโทษ แม้เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน
แม้ว่าตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยจะได้ความว่าก่อนกระทำความผิดคดีนี้ จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่า ให้จำคุก13 ปี 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2530 ก็ตาม แต่จำเลยก็ได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535 จำเลยย่อมได้รับประโยชน์ตามมาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ. 2539 ที่บัญญัติให้ถือว่าจำเลยมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดที่ได้กระทำก่อนหรือในวันที่9 มิถุนายน 2539 และพ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินฉบับนี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ ดังนั้น กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ที่ศาลจะพิจารณารอการลงโทษให้แก่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3799/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทิน ทำให้จำเลยมีสิทธิได้รับการรอการลงโทษ แม้เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน
แม้ว่าตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยจะได้ความว่าก่อนกระทำความผิดคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่าให้จำคุก13ปี4เดือนนับตั้งแต่วันที่9มิถุนายน2530ก็ตามแต่จำเลยก็ได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วเมื่อวันที่12สิงหาคม2535จำเลยย่อมได้รับประโยชน์ตามมาตรา4แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ50ปีพ.ศ.2539ที่บัญญัติให้ถือว่าจำเลยมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดที่ได้กระทำก่อนหรือในวันที่9มิถุนายน2539และพ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินฉบับนี้ใช้บังคับโดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้นๆดังนั้นกรณีจึงต้องถือว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56ที่ศาลจะพิจารณารอการลงโทษให้แก่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3749/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวม: สิทธิในการแบ่งทรัพย์สินที่ได้มาจากการอยู่กินฉันสามีภรรยาหลังหย่า
โจทก์และจำเลยได้ร่วมกันหาที่ดินและบ้านพิพาทมาด้วยกันจึงมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เมื่อโจทก์ขอแบ่ง แต่จำเลยไม่ยอมแบ่งให้โดยปราศจากเหตุผลโดยชอบ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องขอแบ่งได้
ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายความว่า โจทก์กับจำเลยได้อยู่กินฉันสามีภรรยากัน และระหว่างอยู่กินกันนั้นโจทก์และจำเลยได้ร่วมกันทำมาหาได้ซึ่งที่ดินและบ้านพิพาท ต่อมาโจทก์และจำเลยได้หย่ากัน โจทก์จึงขอแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทกึ่งหนึ่ง แต่จำเลยไม่ยอมแบ่ง โจทก์จึงฟ้องต่อศาล เช่นนี้สาระสำคัญของฟ้องโจทก์ประสงค์โดยตรงและชัดแจ้งที่จะขอให้ศาลแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์และจำเลยฝ่ายละกึ่งหนึ่ง ส่วนวิธีการแบ่งนั้นแล้วแต่ศาลจะกำหนดวิธีการแบ่งให้ ซึ่งศาลล่างทั้งสองก็กำหนดวิธีการแบ่งให้ตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.ว่าด้วยกรรมสิทธิ์รวมตามมาตรา 1364 ส่วนที่โจทก์กำหนดราคาที่ดินและบ้านและขอส่วนของโจทก์กึ่งหนึ่งนั้น โจทก์เพียงแต่ประมาณราคามาเพื่อความสะดวกในการคิดคำนวณส่วนได้และการเสียค่าขึ้นศาล แสดงว่าราคาที่ดินแบ่งกันจำนวนเท่าใดยังไม่ทราบ แม้หากปรากฏในชั้นบังคับคดีว่าราคาไม่ถึงจำนวนที่ประมาณไว้ก็ไม่เป็นสาระสำคัญ เพียงแต่โจทก์มีสิทธิจะได้รับกึ่งหนึ่งของราคาที่ดินและบ้านพิพาทเท่านั้นดังนั้นการที่ศาลล่างพิพากษาให้แบ่งและกำหนดวิธีการแบ่งชอบแล้ว มิได้เป็นการพิพากษาต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3711/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเครื่องหมายการค้า: การใช้ก่อน การโอนสิทธิ และเจตนาของผู้โอน
โจทก์ได้จดทะเบียนบริษัทจำกัด ณ มลรัฐเดลาแวร์ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย ฮ.ประธานกรรมการโจทก์เป็นผู้ลงชื่อแต่งตั้งให้ จ.หรือ ว.เป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีในศาลจนสำเร็จ หนังสือฉบับนี้มี ซ.โนตารี่ปับลิกแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาลงชื่อและประทับตรารับรองว่าผู้มอบอำนาจเป็นประธานกรรมการบริษัทได้แสดงตนว่า บริษัทนี้ได้ทำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวตามกฎหมายหรือโดยมติคณะกรรมการ และมีการลงชื่อกับประทับตราสถานกงสุลใหญ่ประเทศไทยประจำนครลอสแองเจลิสไว้ด้วย ถือได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลและมอบอำนาจให้ จ.เป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์โดยชอบ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "EARTHQUAKE" กับสินค้าเครื่องเสียงของโจทก์จำหน่ายแพร่หลายทั้งต่างประเทศและในประเทศไทยมาก่อนที่จำเลยจะได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แม้การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "EARTHQUAKE" ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นการจดทะเบียนในนาม ล.ตั้งแต่ปี 2532 และต่อมา ล.โอนเครื่องหมายการค้านี้แก่โจทก์โดยไม่แน่ชัดว่าการโอนมีผลสมบูรณ์ก่อนโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้หรือไม่ก็ตาม แต่โจทก์ก็ใช้คำว่า "EARTHQUAKE"เป็นส่วนสำคัญของชื่อโจทก์ตลอดมา ทั้งที่อยู่ของ ล.ที่จดแจ้งลงในทะเบียนสำคัญเครื่องหมายการค้าก็เป็นที่เดียวกับสำนักงานของโจทก์ในปี 2532 และไม่ปรากฏว่าล.ใช้เครื่องหมายการค้านี้หรือโต้แย้งคัดค้านการใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์เลยแต่กลับยืนยันว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านี้และในที่สุดก็โอนเครื่องหมายการค้าให้โจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า ล.และโจทก์มีความประสงค์ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านี้ โจทก์จึงใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "EARTHQUAKE"กับสินค้าของโจทก์จนแพร่หลายตลอดมา เช่นนี้โจทก์ย่อมเป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมาย-การค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลย และเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3711/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเครื่องหมายการค้า: การใช้ก่อนจดทะเบียนและการโอนสิทธิทำให้โจทก์มีสิทธิเหนือกว่าจำเลย
โจทก์ได้จดทะเบียนบริษัทจำกัด ณ มลรัฐเดลาแวร์ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย อ.ประธานกรรมการโจทก์เป็นผู้ลงชื่อแต่งตั้งให้ จ. หรือ ว. เป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีในศาลจนสำเร็จ หนังสือฉบับนี้มี ซ.โนตารี่ปับลิกแห่งมลรัฐเคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาลงชื่อและประทับตรารับรองว่าผู้มอบอำนาจเป็นประธานกรรมการบริษัทได้แสดงตนว่า บริษัทนี้ได้ทำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวตามกฎหมายหรือโดยมติคณะกรรมการ และมีการลงชื่อกับประทับตราสถานกงสุลใหญ่ประจำนครลอสแองเจลิสไว้ด้วยถือได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลและมอบอำนาจให้จ.เป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์โดยชอบ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "EARTHQUAKE" กับสินค้าเครื่องเสียงของโจทก์จำหน่ายแพร่หลายทั้งต่างประเทศและในประเทศไทยมาก่อนที่จำเลยจะได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แม้การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า"EARTHQUAKE" ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นการจดทะเบียนในนาม ล. ตั้งแต่ปี 2532 และต่อมา ล. โอนเครื่องหมายการค้านี้แก่โจทก์โดยไม่แน่ชัดว่าการโอนมีผลสมบูรณ์ก่อนโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้หรือไม่ก็ตาม แต่โจทก์ก็ใช้คำว่า"EARTHQUAKE" เป็นส่วนสำคัญของชื่อโจทก์ตลอดมา ทั้งที่อยู่ของ ล. ที่จดแจ้งลงในทะเบียนสำคัญเครื่องหมายการค้าก็เป็นที่เดียวกับสำนักงานของโจทก์ในปี 2532 และไม่ปรากฏว่าล. ใช้เครื่องหมายการค้านี้หรือโต้แย้งคัดค้านการใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์เลย แต่กลับยืนยันว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านี้และในที่สุดที่โอนเครื่องหมายการค้าให้โจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า ล. และโจทก์มีความประสงค์ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านี้โจทก์จึงใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "EARTHQUAKE" กับสินค้าของโจทก์จนแพ่งหลายตลอดมา เช่นนี้โจทก์ย่อมเป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลย และเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3667/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามลำดับคำพิพากษา และสิทธิการเข้าใช้หนี้แทนจำเลยเมื่อมีการจำนองทรัพย์
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยปราศจากภาระผูกพันโดยให้โจทก์ชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือและให้หักค่าธรรมเนียม ค่าภาษีในการโอนกับค่าเสียหายด้วย หากจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยปราศจากภาระผูกพันไม่ได้ จำเลยต้องคืนเงินมัดจำและชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ การบังคับคดีจึงต้องเป็นไปตามลำดับที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาไว้ แต่ปรากฏว่าจำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้เพื่อเป็นประกันหนี้ที่จำเลยมีต่อธนาคาร ซึ่งธนาคารได้ฟ้องและนำยึดที่ดินพิพาทไว้ในคดีแพ่งอื่น โจทก์ซึ่งต้องเสี่ยงภัยเสียสิทธิตามคำพิพากษาในคดีนี้ จึงมีสิทธิเข้าใช้หนี้ของจำเลยแทนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 230 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้แทนจำเลยไปครบถ้วนแล้ว หนี้ที่จำเลยจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันจึงระงับสิ้นไป แม้ก่อนหน้านั้นศาลชั้นต้นจะเคยมีคำสั่งให้โอนที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยติดจำนองก็ตาม แต่คำสั่งดังกล่าวก็มีผลเป็นคำสั่งให้โอนที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยปลอดจำนองหรือปราศจากภาระผูกพัน อันเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลในลำดับแรกนั้นเอง หาใช่เป็นการบังคับคดีในลำดับหลังอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามลำดับในการบังคับคดีไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3613/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นขอชำระภาษีล่าช้าและสิทธิในการหักค่าใช้จ่าย: หลักเกณฑ์และขอบเขต
ปัญหาว่า การที่โจทก์ยื่นแบบขอชำระภาษีอากรตามประกาศ กระทรวงการคลัง เรื่อง ขยายเวลายื่นรายการการชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2534 แล้วทำให้โจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่จำเลยที่ 1หรือไม่นั้น โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเพื่อเพิ่มเติมปัญหาดังกล่าวขึ้นเป็นประเด็นในศาลภาษีอากรกลางแม้ศาลภาษีอากรกลางได้ยกคำร้องดังกล่าวของโจทก์ไปแล้วก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่าเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2539กระทรวงการคลังได้มีประกาศ เรื่อง ขยายเวลายื่นรายการการชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตาม ประมวลรัษฎากรเพื่อให้โอกาสผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรที่ได้ยื่นรายการและชำระภาษีอากรไว้ไม่ครบถ้วนได้ยื่นรายการเพื่อเสียภาษีอากรให้ถูกต้องตามแบบชำระภาษีอากรที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด และโจทก์ได้ยื่นแบบขอชำระภาษีอากรดังกล่าวแล้ว คดีจึงมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ยื่นแบบขอชำระภาษีอากรดังกล่าวทำให้โจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มในคดีนี้ต่อจำเลยที่ 1 หรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะเป็นปัญหาที่ศาลภาษีอากรกลางมิได้ยกเป็นประเด็นขึ้นวินิจฉัยมาก่อนก็ตาม โจทก์ย่อมมีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นในชั้นอุทธรณ์ได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ขยายเวลายื่นรายการ ชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตาม ประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2534 ข้อ 2 นั้น ผู้ยื่นขอ ชำระภาษีอากรตามประกาศกระทรวงการคลังจะได้รับผลประโยชน์โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มเฉพาะภาษีอากรส่วนที่ชำระหรือนำส่งนั้นเท่านั้นแต่ในกรณีของโจทก์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คงเรียกเก็บเงินเพิ่มสำหรับการประเมินภาษีในปี 2528(ครึ่งปี) และปี 2529(ครึ่งปี) และสำหรับปี 2529 คงเรียกเก็บเบี้ยปรับร้อยละ50 ส่วนเงินเพิ่มเป็นไปตามที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินเรียกเก็บ เบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่เรียกเก็บจากโจทก์จึงเป็นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจากภาษีอากรที่โจทก์ยังคงยื่นเสียไว้ไม่ครบถ้วนจากการที่โจทก์ยื่นขอชำระภาษีไว้ดังกล่าวแล้วหาใช่เบี้ยปรับและเงินเพิ่มสำหรับภาษีอากรส่วนที่โจทก์ได้ชำระไว้ตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวไม่ ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 มาตรา 8(5) ประกอบด้วยพระราชกฤษฎีกาออกตามความใน ประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน(ฉบับที่ 70) พ.ศ. 2520 มาตรา 4 การประกอบกิจการของโจทก์ยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้อยละ 70แต่ถ้าโจทก์แสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานประเมินและพิสูจน์ได้ว่ามีค่าใช้จ่ายมากกว่านั้น ก็ยอมให้หักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร แต่ถ้าตามหลักฐานที่นำมาพิสูจน์นั้นมีรายจ่ายที่หักได้ตามกฎหมายน้อยกว่าอัตราค่าใช้จ่ายที่กำหนดดังกล่าว ก็ให้ถือว่ามีค่าใช้จ่ายเพียงเท่าหลักฐานที่นำมาพิสูจน์ และตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8)เงินได้พึงประเมินของโจทก์เป็นเงินได้จากการประกอบธุรกิจของโจทก์ทั้งหมดก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนตามกฎหมาย เมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนตามกฎหมายแล้วจึงเป็นเงินได้สุทธิที่จะนำไปคำนวณเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 48 ดังนั้น การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีนี้ต้องเริ่มมาจากเงินได้จากการประกอบธุรกิจของโจทก์ทั้งหมดก่อน แล้วจึงนำค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนตามกฎหมายมาหักออก มิใช่คำนวณมาจากกำไรสุทธิ สำหรับค่าใช้จ่ายนั้นเมื่อโจทก์ไม่นำค่าใช้จ่ายเหมาจ่ายที่กฎหมายกำหนดไว้มาหัก แต่จะหักตามความจำเป็นและสมควร โจทก์ก็มีหน้าที่จะต้องนำหลักฐานมาพิสูจน์ การที่โจทก์นำสืบอ้างว่าโจทก์มีกำไรจากการประกอบกิจการร้อยละ 10 นั้น ไม่เพียงพอจะถือว่ากำไรร้อยละ 10 ของโจทก์นั้นเป็นเงินได้สุทธิที่จะนำมาคำนวณเสียภาษี เมื่อโจทก์ไม่นำหลักฐานมาพิสูจน์ให้เห็นว่ารายได้ทั้งหมดของโจทก์จะต้องมีรายจ่ายที่จะหักได้ตามกฎหมาย เป็นอะไรบ้าง จำนวนเท่าใด โจทก์ต้องการให้หักค่าใช้จ่ายอีกเท่าใด การที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาหักค่าใช้จ่ายให้เท่าที่ตรวจพบจึงเป็นการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3579/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาพินัยกรรมโมฆะ การฉ้อฉล และสิทธิของผู้จัดการมรดก
ผู้ตายมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์อยู่เพราะสามารถลงลายมือชื่อตามที่ น. บอกให้ลงลายมือชื่อได้ นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบลายมือชื่อผู้ตายในพินัยกรรมกับเอกสารอื่นที่ผู้ตายเคยลงลายมือชื่อไว้แล้วมีลักษณะลีลาการเขียนอย่างเดียวกันเพียงแต่อักษรตัวใหญ่กว่าเท่านั้น จึงเป็นข้อสนับสนุนว่าผู้ตายได้ลงลายมือชื่ออย่างมีสติ พินัยกรรมมีเพียงหน้าเดียวเป็นตัวพิมพ์มีข้อความด้านบนระบุว่าพินัยกรรมทั้งในช่องที่ผู้ตายลงลายมือชื่อนั้นก็พิมพ์ข้อความว่า ผู้ทำพินัยกรรม ไว้ ผู้ตายต้องใช้เวลาในการลงลายมือชื่อถึงครึ่งชั่วโมง โดย น. บอกให้เขียนทีละตัว เชื่อว่าผู้ตายน่าจะเห็นข้อความคำว่าพินัยกรรมและทราบว่าเป็นการลงลายมือชื่อในพินัยกรรม ดังนั้น การลงลายมือชื่อของผู้ตายยังถือไม่ได้ว่าถูกจำเลยฉ้อฉลให้ทำพินัยกรรม ส่วนที่พินัยกรรมระบุสถานที่ไม่ตรงตามสถานที่จริงและ วัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรมไม่ตรงตาม วัน เดือน ปีที่แท้จริงนั้นข้อความดังกล่าวก็ปรากฏอยู่แล้วในขณะที่ผู้ตายลงลายมือชื่อ แม้จำเลยจะเป็นผู้จัดทำมาก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการปลอมพินัยกรรม จำเลยจึงไม่ถูกกำจัดมิให้รับมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605
of 424