พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11319/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พนักงานสินเชื่อร่วมกับผู้อื่นใช้เอกสารราชการปลอมหลอกลวงธนาคาร คดีนี้ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิด
ทางนำสืบของโจทก์นอกจากคดีนี้แล้ว จำเลยยังถูกดำเนินคดีในข้อหาลักษณะเดียวกันกับในคดีนี้อีกหลายคดี ซึ่งลักษณะ วิธี หรือรูปแบบเฉพาะในการกระทำความผิดของจำเลยมีลักษณะเช่นเดียวกับคดีนี้ คือการที่มีผู้นำรถยนต์มาขอสินเชื่อ จำเลยทำการประเมินขอสินเชื่อจากผู้เสียหายแล้วมีการปลอมใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ ซึ่งสามารถนำมาฟังประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/2 วรรคหนึ่ง (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11195/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานค้ามนุษย์, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี, และช่วยเหลือคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
มาตรา 7 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 ของกฎหมายเดิมบัญญัติว่า ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง คนหนึ่งคนใดได้ลงมือกระทำความผิดตามที่สมคบกันไปแล้ว ผู้ร่วมสมคบด้วยกันทุกคนต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นอีกกระทงหนึ่งด้วยนั้น เป็นเพียงบทบัญญัติประกอบการลงโทษบุคคลที่ร่วมสมคบกันกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งแล้ว มิใช่ฐานความผิดหรือบทกำหนดความผิดและกำหนดโทษในตัวเองที่จะใช้ลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดโดยตรง และการที่มาตรา 7 วรรคสอง กำหนดให้ลงโทษผู้ร่วมสมคบตามวรรคหนึ่งทุกคนตามฐานความผิดที่มีการกระทำลงอีกกระทงหนึ่งด้วย แสดงอยู่ว่ากฎหมายมีเจตนารมณ์ให้ลงโทษฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้าหญิงและเด็กตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง กับความผิดฐานที่ได้มีการกระทำลงแยกต่างหากจากกันเป็นคนละกระทงกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน มิใช่ความผิดกรรมเดียวกัน
ความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแลหรือผู้จัดการสถานการค้าประเวณี กับฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสอง และมาตรา 11 วรรคสอง เป็นความผิดที่อาศัยเจตนาต่างกันและมีองค์ประกอบความผิดต่างกัน จึงเป็นความผิดต่างกรรม แต่โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับความผิดดังกล่าวร่วมกันมาในข้อเดียว ย่อมเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในทุกฐานความผิดดังกล่าวเพียงกรรมเดียว หาได้มุ่งประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 จึงลงโทษจำเลยทั้งสามสำหรับความผิดในฟ้องข้อนี้ได้เพียงกรรมเดียว
ความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแลหรือผู้จัดการสถานการค้าประเวณี กับฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสอง และมาตรา 11 วรรคสอง เป็นความผิดที่อาศัยเจตนาต่างกันและมีองค์ประกอบความผิดต่างกัน จึงเป็นความผิดต่างกรรม แต่โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับความผิดดังกล่าวร่วมกันมาในข้อเดียว ย่อมเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในทุกฐานความผิดดังกล่าวเพียงกรรมเดียว หาได้มุ่งประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 จึงลงโทษจำเลยทั้งสามสำหรับความผิดในฟ้องข้อนี้ได้เพียงกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9993-9995/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อเลิกแล้ว การนำเช็คที่ออกไว้ก่อนหน้านั้นไปเรียกเก็บเงินยังคงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
เมื่อจำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อทั้งหมดส่งมอบคืนแก่โจทก์ร่วมถือว่าสัญญาเช่าซื้อทุกฉบับเลิกกันตั้งแต่วันดังกล่าว จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้อคงเหลือนับแต่วันที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันอีกต่อไป และโจทก์ร่วมไม่มีสิทธินำเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายล่วงหน้าเพื่อชำระค่าเช่าซื้อคงเหลือไปเรียกเก็บเงิน แม้ธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยก็ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9948/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: หุ้นส่วนสามัญ, ผู้รับเงินแทน, และการระงับความผิด
โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 2 เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนกับบริษัท อ. เพื่อดำเนินกิจการของโรงเรียน อันมีโจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 2 เป็นหุ้นส่วน เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เป็นหุ้นส่วนตกลงกันไว้ในกระบวนการห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วนย่อมจัดการห้างหุ้นส่วนนั้นได้ทุกคนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1033 วรรคหนึ่ง โจทก์ร่วมในฐานะหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนสามัญยังมิได้จดทะเบียน ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ (วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่)
ขณะเกิดเหตุแม้จำเลยไม่ได้ทำหน้าที่ฝ่ายการเงินของโรงเรียนและไม่มีหน้าที่รับเงินจากนักเรียนโดยตรงก็ตาม แต่จำเลยเป็นอาจารย์ฝ่ายทะเบียนและฝ่ายผู้สอน นักเรียนสามารถฝากเงินแก่จำเลยให้นำไปชำระแก่โรงเรียนได้โดยถือเสมือนหนึ่งว่านักเรียนชำระเงินให้แก่โรงเรียนแล้ว และจำเลยมีหน้าที่นำเงินดังกล่าวไปมอบให้ฝ่ายการเงิน ถือได้ว่าจำเลยได้รับมอบหมายโดยปริยายจากโรงเรียนให้มีหน้าที่รับเงินจากนักเรียนแทนโรงเรียนได้ ซึ่งเมื่อจำเลยได้รับเงินดังกล่าวจากนักเรียนแล้ว เงินดังกล่าวย่อมตกเป็นของโรงเรียน ซึ่งเป็นกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญยังมิได้จดทะเบียน ไม่ได้เป็นของนักเรียนอีกต่อไป นักเรียนผู้ชำระเงินผ่านจำเลย จึงมิใช่ผู้เสียหายผู้มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย ดังนั้นแม้ก่อนโจทก์ร่วมแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในคดีนี้ นักเรียนผู้ชำระเงินผ่านจำเลยไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในข้อหาฉ้อโกง และถอนคำร้องทุกข์เนื่องจากโรงเรียนออกใบรับรองผลการเรียนให้ไปแล้วก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่านักเรียนดังกล่าวเป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจถอนคำร้องทุกข์ในความผิดข้อหายักยอกตามฟ้องนี้ได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ ในส่วนนี้จึงยังไม่ระงับไป เพราะมิใช่เป็นการเปลี่ยนตัวผู้เสียหายและเปลี่ยนข้อหาเพื่อดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2555)
ขณะเกิดเหตุแม้จำเลยไม่ได้ทำหน้าที่ฝ่ายการเงินของโรงเรียนและไม่มีหน้าที่รับเงินจากนักเรียนโดยตรงก็ตาม แต่จำเลยเป็นอาจารย์ฝ่ายทะเบียนและฝ่ายผู้สอน นักเรียนสามารถฝากเงินแก่จำเลยให้นำไปชำระแก่โรงเรียนได้โดยถือเสมือนหนึ่งว่านักเรียนชำระเงินให้แก่โรงเรียนแล้ว และจำเลยมีหน้าที่นำเงินดังกล่าวไปมอบให้ฝ่ายการเงิน ถือได้ว่าจำเลยได้รับมอบหมายโดยปริยายจากโรงเรียนให้มีหน้าที่รับเงินจากนักเรียนแทนโรงเรียนได้ ซึ่งเมื่อจำเลยได้รับเงินดังกล่าวจากนักเรียนแล้ว เงินดังกล่าวย่อมตกเป็นของโรงเรียน ซึ่งเป็นกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญยังมิได้จดทะเบียน ไม่ได้เป็นของนักเรียนอีกต่อไป นักเรียนผู้ชำระเงินผ่านจำเลย จึงมิใช่ผู้เสียหายผู้มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย ดังนั้นแม้ก่อนโจทก์ร่วมแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในคดีนี้ นักเรียนผู้ชำระเงินผ่านจำเลยไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในข้อหาฉ้อโกง และถอนคำร้องทุกข์เนื่องจากโรงเรียนออกใบรับรองผลการเรียนให้ไปแล้วก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่านักเรียนดังกล่าวเป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจถอนคำร้องทุกข์ในความผิดข้อหายักยอกตามฟ้องนี้ได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ ในส่วนนี้จึงยังไม่ระงับไป เพราะมิใช่เป็นการเปลี่ยนตัวผู้เสียหายและเปลี่ยนข้อหาเพื่อดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2555)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9663/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองวัตถุออกฤทธิ์เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด และการพิสูจน์ความผิดของจำเลยร่วม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีไดเมทิลแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นไอโซเมอร์ของเอ็น-เอทิลแอมเฟตามีน อันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเกินกว่าปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด แต่โจทก์มิได้บรรยายว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศกำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ตามที่ฟ้องไว้ คงอ้างเฉพาะประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 97 (พ.ศ.2539) ซึ่งเป็นประกาศระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์เท่านั้น และตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 104 (พ.ศ.2541) เรื่อง กำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 ที่ใช้อยู่ในขณะมีการกระทำความผิดก็ไม่มีระบุว่า ไดเมทิลแอมเฟตามีน หรือเอ็น-เอทิลแอมเฟตามีน อยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศกำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ไว้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา106 ทวิ แม้จำเลยที่ 1 จะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในข้อหาดังกล่าวได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเกินกว่าปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 62, 106 ทวิ ความผิดดังกล่าวย่อมรวมถึงการมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง อยู่ด้วย ถือได้ว่าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดเฉพาะข้อหามีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดข้อหาดังกล่าวซึ่งมีโทษเบากว่าตามที่พิจารณาได้ความ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 225 ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเกินกว่าปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 62, 106 ทวิ ความผิดดังกล่าวย่อมรวมถึงการมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง อยู่ด้วย ถือได้ว่าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดเฉพาะข้อหามีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดข้อหาดังกล่าวซึ่งมีโทษเบากว่าตามที่พิจารณาได้ความ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 225 ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9632/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลอกลวงหางานต่างประเทศเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จัดหางานฯ แม้ได้ค่าจ้างน้อยกว่าที่กล่าวอ้างก็ตาม
การหลอกลวงว่าสามารถหางานในต่างประเทศได้ตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2528 มาตรา 91 ตรี ย่อมรวมถึงการหลอกลวงในเรื่องตำแหน่งหน้าที่การงานหรือค่าจ้าง ค่าตอบแทนในการทำงานด้วย หากจำเลยที่ 1 มีเจตนาหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสองว่าสามารถหางานในไต้หวันโดยได้รับค่าจ้างสูง และโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้เสียหายทั้งสองก็เป็นความผิดสำเร็จตามบทบัญญัตินี้แล้ว แม้ภายหลังผู้เสียหายทั้งสองจะได้เดินทางไปทำงานที่ไต้หวันแต่เมื่อได้รับค่าจ้างน้อยกว่าที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง จำเลยที่ 1 ก็ไม่พ้นความรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 932/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานรับตัวผู้เยาว์เพื่อการอนาจารและการกระทำชำเรา โดยไม่เข้าข่ายค้ามนุษย์
ด. พรากผู้เสียหายไปเสียจาก อ. ผู้ดูแล โดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร และจำเลยรับตัวผู้เสียหายไว้จาก ด. แล้วกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่พฤติการณ์ที่จำเลยรับตัวผู้เสียหายไว้และกระทำชำเราผู้เสียหายอันเป็นการกระทำความผิดฐานรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม ไม่ปรากฏว่าจำเลยรับตัวผู้เสียหายเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานค้ามนุษย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9059/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดต้องมีเจตนาหวงกันไว้เพื่อตนเอง การเตรียมการกระทำผิดไม่ถือว่าเป็นการครอบครอง
ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มิได้บัญญัติหรือให้คำนิยามคำว่า "มีไว้ในครอบครอง" ว่ามีความหมายครอบคลุมเพียงใด จึงต้องถือตามความหมายที่ใช้กันโดยทั่วไป ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2542 ได้บัญญัติความหมายของคำว่า "ครอบครอง" ไว้ว่า ยึดถือไว้ มีสิทธิปกครองส่วนความหมายในทางกฎหมายให้นิยามไว้ว่า ยึดถือทรัพย์สินไว้โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนอันทำให้บุคคลได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง ดังนั้น การมีกัญชาไว้ในครอบครองตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง จะต้องเป็นการยึดถือไว้โดยมีเจตนาที่จะหวงกันไว้เพื่อตนเอง โดยอาจมุ่งหมายเพื่อใช้หรือหาประโยชน์จากทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อที่จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่า จำเลยได้รับการว่าจ้างจาก ห. ให้มารับกัญชาจากคนลาวไปส่งมอบให้ ห. ที่จังหวัดสกลนคร และตั้งแต่เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนตรวจค้นจับกุมจำเลยและขยายผลจนจับกุมผู้กระทำความผิดคนอื่นได้พร้อมกัญชา กัญชาของกลางไม่เคยอยู่ในความครอบครองของจำเลยแต่อย่างใด การที่จำเลยขับรถไปยังจุดนัดหมายเพื่อรอรับกัญชาของกลางเป็นเพียงการเตรียมการเพื่อกระทำความผิด แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนในข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8688/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานตั้งสถานีวิทยุ, ปลอมเอกสาร, ใช้ยศเท็จ ศาลฎีกาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดจริง
คดีนี้ สำหรับความผิดฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือน ฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 3 เดือน ฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่า ความผิดทั้งสามฐานเป็นกรรมเดียวและมีระวางโทษเท่ากัน ลงโทษฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียงกระทงเดียวและปรับ 30,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลย ดังนี้ แม้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 จะได้รอการลงโทษจำคุกจำเลยอันเป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ที่โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษในความผิดทั้งสามฐานดังกล่าวนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาตราดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ในข้อนี้มานั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่จำเลยมีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ก็ด้วยเจตนาเพื่อใช้ การที่จำเลยนำเครื่องวิทยุคมนาคมที่มีอยู่นั้นมาตั้งเป็นสถานีวิทยุคมนาคมขึ้นก็ด้วยเจตนาเพื่อใช้เช่นกัน ความผิดฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมกับฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว
เจ้าพนักงานตำรวจยึดประกาศนียบัตรลักษณะเดียวกันหลายฉบับ รูปถ่ายจำเลยซึ่งอุปโลกน์ตนเองเป็นครูบาขาวเจ้าศรีสุธรรม รูปถ่ายสมาชิกแต่งเครื่องแบบทหารและไม่ได้แต่งเครื่องแบบ อาร์มหน่วยปฏิบัติการพิเศษทับทิมดำหน่วยเหนือ ทภ.3 แบบพิมพ์ใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองพันอาสาสมัครป้องกันชาติปฏิบัติการพิเศษทับทิมดำ ภาพสัญลักษณ์หัวเสือคาบดาบหน่วยจู่โจมล่าสังหารเฉพาะกิจลับพิเศษ จทฐ. พล. ร.10 ป.พัน ทับทิมดำ ปฏิบัติการพิเศษ บัตรประจำตัวไทยอาสาป้องกันชาติออกให้โดยอำเภอจุน จังหวัดพะเยา มีรอยแกะรูปถ่ายออก มีรอยลบชื่อและพิมพ์ชื่อของจำเลยแทน ตามบัญชีของกลางคดีอาญา ทั้งในประกาศนียบัตรยังมีตราครุฑ ข้อความว่า ก.ห.0043 ซึ่งตัวย่อ ก.ห. น่าจะหมายถึงกระทรวงกลาโหม มีระบุยศพันโทนำหน้าชื่อของจำเลย หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่จะยกตนเองขึ้นเป็นใหญ่ เริ่มต้นจากการเป็นครูบาเจ้าสำนัก แล้วซ่องสุมสมาชิกเพื่อสร้างเสริมบารมีให้กับตน โดยแอบอ้างหน่วยงานทางทหารหรือกองทัพบก แม้หน่วยงานที่อ้างจะไม่มีอยู่จริงก็ตาม พฤติกรรมของจำเลยเห็นได้ชัดว่ารู้เห็นเป็นใจในการปลอมประกาศนียบัตรเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการโฆษณาชวนเชื่อจูงใจคนสมัครเป็นสมาชิก และเพื่อให้แนบเนียนสมจริงจึงอุปโลกน์ยศทหารของตนไว้ด้วย ดังเช่นการอุปโลกน์ตนเป็นครูบาขาวเจ้าศรีสุธรรมดังกล่าวข้างต้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ และใช้ยศโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย
การที่จำเลยมีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ก็ด้วยเจตนาเพื่อใช้ การที่จำเลยนำเครื่องวิทยุคมนาคมที่มีอยู่นั้นมาตั้งเป็นสถานีวิทยุคมนาคมขึ้นก็ด้วยเจตนาเพื่อใช้เช่นกัน ความผิดฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมกับฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว
เจ้าพนักงานตำรวจยึดประกาศนียบัตรลักษณะเดียวกันหลายฉบับ รูปถ่ายจำเลยซึ่งอุปโลกน์ตนเองเป็นครูบาขาวเจ้าศรีสุธรรม รูปถ่ายสมาชิกแต่งเครื่องแบบทหารและไม่ได้แต่งเครื่องแบบ อาร์มหน่วยปฏิบัติการพิเศษทับทิมดำหน่วยเหนือ ทภ.3 แบบพิมพ์ใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองพันอาสาสมัครป้องกันชาติปฏิบัติการพิเศษทับทิมดำ ภาพสัญลักษณ์หัวเสือคาบดาบหน่วยจู่โจมล่าสังหารเฉพาะกิจลับพิเศษ จทฐ. พล. ร.10 ป.พัน ทับทิมดำ ปฏิบัติการพิเศษ บัตรประจำตัวไทยอาสาป้องกันชาติออกให้โดยอำเภอจุน จังหวัดพะเยา มีรอยแกะรูปถ่ายออก มีรอยลบชื่อและพิมพ์ชื่อของจำเลยแทน ตามบัญชีของกลางคดีอาญา ทั้งในประกาศนียบัตรยังมีตราครุฑ ข้อความว่า ก.ห.0043 ซึ่งตัวย่อ ก.ห. น่าจะหมายถึงกระทรวงกลาโหม มีระบุยศพันโทนำหน้าชื่อของจำเลย หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่จะยกตนเองขึ้นเป็นใหญ่ เริ่มต้นจากการเป็นครูบาเจ้าสำนัก แล้วซ่องสุมสมาชิกเพื่อสร้างเสริมบารมีให้กับตน โดยแอบอ้างหน่วยงานทางทหารหรือกองทัพบก แม้หน่วยงานที่อ้างจะไม่มีอยู่จริงก็ตาม พฤติกรรมของจำเลยเห็นได้ชัดว่ารู้เห็นเป็นใจในการปลอมประกาศนียบัตรเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการโฆษณาชวนเชื่อจูงใจคนสมัครเป็นสมาชิก และเพื่อให้แนบเนียนสมจริงจึงอุปโลกน์ยศทหารของตนไว้ด้วย ดังเช่นการอุปโลกน์ตนเป็นครูบาขาวเจ้าศรีสุธรรมดังกล่าวข้างต้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ และใช้ยศโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8405/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในคดีริบของกลาง: ความผิดเกี่ยวกับการคนเข้าเมืองไม่ใช่คดีเกี่ยวกับยาเสพติด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนแล้วขับขี่รถจักรยานยนต์ ฐานนำและพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร และฐานให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม และขอให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ซึ่งความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนแล้วขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ศาลชั้นต้นริบรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งจำเลยใช้เป็นยานพาหนะในการพาบุคคลต่างด้าวหลบหนี อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มิใช่ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 15 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นซึ่งมีคำสั่งให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่จะพิจารณาพิพากษาคดี การที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิจารณาพิพากษาจึงเป็นการไม่ชอบ