พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีอาญา: ผลของการไม่โต้แย้งการกระทำผิดในชั้นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต จำเลยมิได้อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำผิด แต่อุทธรณ์ขอให้ลดโทษ ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยให้เนื่องจากเป็นคดีที่ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณา เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ข้อที่ว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ จึงเป็นอันถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง เมื่อจำเลยฎีกาว่าไม่ได้กระทำผิดจึงต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาต่อเนื่อง: แม้ถูกดำเนินคดีก่อนหน้า แต่หากแจ้งข้อหาใหม่ถือเป็นการจับกุมใหม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องได้
แม้ชั้นแรกพนักงานสอบสวนจะดำเนินคดีกับจำเลยในข้อหาปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266,268ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลจังหวัดอุดรธานีที่จะพิจารณาพิพากษา แต่เมื่อศาลจังหวัดอุดรธานีปล่อยตัวจำเลยแล้ว ต่อมาพนักงานสอบสวนได้สอบสวนและแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 กรณีย่อมถือว่าจำเลยเพิ่งถูกจับในข้อหาของคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงตั้งแต่วันแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 เมื่อพนักงานสอบสวนส่งตัวจำเลยต่อพนักงานอัยการและพนักงานอัยการได้ขอผัดฟ้องและฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ภายในกำหนดเวลาที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 7วรรคสอง จึงไม่มีเหตุที่จะต้องขออนุญาตอธิบดีกรมอัยการก่อนฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7039/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง: ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญาใช้ไม่ได้หากศาลสูงยังไม่ได้วินิจฉัย
ในคดีอาญาพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ที่ 1 ว่าบุกรุกที่ดินของจำเลย ผู้เสียหายในคดีคือจำเลย โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่ความหรือผู้เสียหายในคดีอาญา การพิพากษาข้อพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยในคดีส่วนแพ่งจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 คำพิพากษาคดีส่วนอาญาหมายถึงคำพิพากษาของศาลสูงที่ถึงที่สุดแล้ว เมื่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุดมิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ 1 ในการที่จะนำมารับฟังในคดีส่วนแพ่ง
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 คำพิพากษาคดีส่วนอาญาหมายถึงคำพิพากษาของศาลสูงที่ถึงที่สุดแล้ว เมื่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุดมิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ 1 ในการที่จะนำมารับฟังในคดีส่วนแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7039/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทครอบครองที่ดิน: คำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง หากไม่ได้วินิจฉัยกรรมสิทธิ์
ในคดีอาญาพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ที่ 1 ว่าบุกรุกที่ดินของจำเลย ผู้เสียหายในคดีคือจำเลย โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่ความหรือผู้เสียหายในคดีอาญา การพิพากษาข้อพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยในคดีส่วนแพ่งจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คำพิพากษาคดีส่วนอาญาหมายถึงคำพิพากษาของศาลสูงที่ถึงที่สุดแล้ว เมื่อคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุดมิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ 1ในการที่จะนำมารับฟังในคดีส่วนแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ที่ขัดกับคำพิพากษาศาลล่างในคดีอาญา
จำเลยฎีกาอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่า จำเลยยิงปืนในหมู่บ้านและทางสาธารณะในเวลากลางคืน ข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 เพราะไม่ได้ความว่าปืนที่ใช้ยิงนั้นเป็นปืนซึ่งใช้ดินระเบิดด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376ถือว่า ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงโดยปริยายแล้วว่าจำเลยยิงปืนที่ใช้ดินระเบิด ดังนี้ ฎีกาจำเลยจึงประสงค์จะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยยิงปืนซึ่งไม่ได้ใช้ดินระเบิด อันเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยเป็นยุติ ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวจะครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 หรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6863/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์และฎีกาในคดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเป็นรอการลงโทษ โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษ ถือเป็นการโต้เถียงดุลยพินิจ จึงต้องห้ามฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา326จำคุกกระทงละ1เดือนรวม3กระทงจำคุก3เดือนศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษาแก้เป็นว่าให้ปรับจำเลยกระทงละ1,000บาทอีกสถานหนึ่งรวม3กระทงปรับ3,000บาทโทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด2ปีแม้ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้รอการลงโทษแก่จำเลยเป็นการแก้ไขมากแต่ก็ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค1ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปีจึงเป็นคดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลว่าสมควรลงโทษจำเลยเพียงใดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯมาตรา4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6746/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการกำหนดโทษและการแก้ไขคำพิพากษาในคดีอาญา และการพิจารณาความผิดฐานไม่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
คำพิพากษาศาลชั้นต้นจะถึงที่สุดก็ต่อเมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีนี้แม้โจทก์จะเป็นผู้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นและไม่รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยก็ตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นสำหรับจำเลยก็ยังไม่ถึงที่สุด ปัญหาเรื่องการกำหนดโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดเป็นดุลพินิจของศาล ถ้าศาลชั้นต้นกำหนดมาไม่เหมาะสม และคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ย่อมแก้ได้เสมอเมื่อคดีส่วนของจำเลยคนนั้นยังไม่ถึงที่สุดไม่ว่าฝ่ายใดจะยกขึ้นอุทธรณ์มาโดยเฉพาะหรือไม่ก็ตาม โดยคำนึงถึงพฤติการณ์ประกอบการกระทำความผิด ศาลอุทธรณ์คงถูกห้ามเพียงแต่มิให้พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212เท่านั้น คดีนี้โจทก์เองเป็นผู้อุทธรณ์ทำนองขอให้เพิ่มโทษจำเลยและศาลอุทธรณ์ก็กำหนดโทษน้อยกว่าที่ศาลชั้นต้นวางไว้จึงไม่ต้องห้ามแต่อย่างใด และบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55เป็นเรื่องกฎหมายให้อำนาจศาลจะกำหนดโทษจำคุกตามกฎหมายให้น้อยลงแต่คดีนี้เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยให้น้อยลงกว่าศาลชั้นต้น จึงนำหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องอ้างเหตุว่าการที่จำเลยไม่อยู่ให้ความช่วยเหลือตามสมควร ไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 นั้น เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย คดีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 160 วรรคสอง ได้ และปัญหานี้แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6565/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลฎีกาไม่ผูกพันข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญาที่ยังไม่ถึงที่สุด
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้
คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว
คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6565/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลฎีกาไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา หากคดีอาญาไม่ถึงที่สุด
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6478/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจในคดีอาญา: ศาลไม่ต้องผูกพันข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอื่น
การพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่นดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับคดีแพ่ง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ไม่ เพราะในคดีอาญา ศาลจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง จะไม่พิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น