คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ละเมิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,780 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างร่วม vs. ความรับผิดทางละเมิด และค่าเสียหายทางจิตใจ/ความสามารถในการทำงาน
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้นำเข้าร่วมกิจการเดินรถร่วมกับจำเลยที่ 3 โดยได้ให้ประโยชน์แก่จำเลยที่ 3 เป็นรายเที่ยว และให้ค่าต่อสัญญาเป็นรายปี ถือได้ว่า จำเลยที่ 3และที่ 2 ร่วมกันเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ทำละเมิด จำเลยที่ 3จึงต้องร่วมรับผิดด้วย หาจำต้องมีการแบ่งผลประโยชน์ในการประกอบกิจการไม่
ค่าขาดความสุขสำราญ เพราะร่างกายพิการทำให้สังคมรังเกียจอับอายขายหน้า ไม่ได้เล่นกีฬา ไม่ได้สมรส เป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับความรู้สึกทางด้านจิตใจ เป็นความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446ส่วนค่าสูญเสียความสามารถในการทำงาน เป็นความเสียหายเพราะเสียความสามารถประกอบการงานตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 เป็นค่าเสียหายคนละอย่างไม่ซ้ำซ้อน และแม้ค่าขาดความสุขสำราญกับค่าทนทุกขเวทนาต่างก็เป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงิน แต่ก็มิใช่ค่าเสียหายเดียวกัน เพราะค่าขาดความสุขสำราญเป็นเรื่องการขาดหรือสูญเสียความสุขสำราญจากความรู้สึกที่ดี ส่วนค่าทนทุกขเวทนา เป็นเรื่องการต้องทนยอมรับความเจ็บปวดหรือทรมาน จึงแตกต่างกัน ไม่ซ้ำซ้อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2473/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างต่อลูกจ้างเมื่อใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อก่อเหตุ โดยมีผลประโยชน์ร่วมกัน
รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุมี ส. เป็นผู้ขับจำเลยที่3เช่าซื้อมามีจำเลยที่2ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่1เป็นผู้ค้ำประกันมีการพ่นชื่อจำเลยที่1เช่นเดียวกับรถยนต์ของจำเลยที่1คนทั่วไปที่ได้พบเห็นรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุจะต้องเข้าใจว่าเป็นรถของจำเลยที่1หลังเกิดเหตุจำเลยที่2ได้ต่อรองเรื่องค่าเสียหายพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่1ได้รับประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยที่3เมื่อ ส. นำรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่3ไปใช้ในทางการที่จ้างของจำเลยที่3โดยประมาทเลินเล่อกรณีถือได้ว่า ส. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่1ด้วยจำเลยที่1ซึ่งมีจำเลยที่2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2458/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิทางศาลย่อมไม่เป็นการละเมิด แม้จะทำให้การบังคับคดีล่าช้า
การปฏิบัติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือการใช้สิทธิฟ้องหรือต่อสู้คดีทางศาลรวมทั้งการอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่เป็นการทำละเมิด โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วและโจทก์ขอให้มีการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดและเพิกถอนการบังคับคดีตลอดจนอุทธรณ์คำสั่งศาลในกรณีดังกล่าวการกระทำของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ส่วนที่กรณีดังกล่าวทำให้การบังคับคดีต้องล่าช้าออกไปก็เป็นความจำเป็นซึ่งจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามที่กฎหมายบังคับไว้โจทก์จะอ้างเอาเป็นเหตุเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2425/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิดและการรับประกันภัย: การกำหนดระยะเวลาฟ้องร้องและการรับผิดของจำเลยแต่ละราย
จำเลยขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายและสั่งอนุญาตได้หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ การที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องของจำเลยแต่เพียงว่า สำเนาให้โจทก์รวมสั่งในอุทธรณ์ และสั่งในอุทธรณ์ว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดรับเป็นอุทธรณ์ของจำเลยแม้ศาลชั้นต้นจะมิได้สั่งอนุญาต แต่การที่สั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย พออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้แล้ว โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของบริษัทอ. ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยโจทก์เสียค่าซ่อมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แทนผู้เอาประกันภัยไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างและจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัย เป็นการฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดในมูลละเมิด เมื่อโจทก์ฟ้องโดยเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อจำเลยที่ 1และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 จึงมีสิทธิเท่ากับสิทธิของผู้เอาประกันภัยมีอยู่โดยมูลหนี้ตามมาตรา 226 วรรคแรก ฉะนั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยต้องฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 448 วรรคแรกโจทก์ก็ต้องฟ้องภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวด้วย โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย ไม่ได้ฟ้องให้รับผิดในฐานะผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 3 จะยกอายุความเรื่องละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448มาปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ เมื่อความรับผิดของจำเลยที่ 3เกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัยจึงต้องนำอายุความตามมาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีกำหนด 2 ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัยมาปรับแก่คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2425/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีละเมิดและการรับประกันภัย: การรับช่วงสิทธิและข้อยกเว้นอายุความ
จำเลยทั้งสามขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาศาลชั้นต้นต้องพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายและสั่งอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้หรือไม่การที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าสำเนาให้โจทก์รวมสั่งในอุทธรณ์และสั่งในอุทธรณ์ว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดรับเป็นอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามโดยมิได้สั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสามอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาก็พออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาโดยตรงต่อศาลฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา223ทวิวรรคแรกแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์โดยให้จำเลยที่1รับผิดในฐานะผู้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่2และจำเลยที่3ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่2จึงต้องฟ้องจำเลยที่1และที่2ภายใน1ปีนับแต่วันที่ผู้เอาประกันภัยรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448วรรคแรกมิฉะนั้นคดีขาดอายุความส่วนความรับผิดของจำเลยที่3นั้นเกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัยจึงต้องนำอายุความ2ปีนับแต่วันเกิดวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา882วรรคหนึ่งมาปรับแก่คดีเมื่อโจทก์ฟ้องยังไม่พ้นกำหนด2ปีนับแต่วันเกิดวินาศภัยคดีเกี่ยวกับจำเลยที่3จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230-231/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์, อายุความ, และสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายของผู้เสียหายและผู้มีสิทธิได้รับค่าอุปการะ
โจทก์ร่วมซึ่งเป็นมารดาผู้ตายจะมีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากผู้ตายหรือไม่อย่างไรเป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ร่วมไม่เกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ที่1ซึ่งเป็นบิดาของผู้ตายและได้ฟ้องคดีเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยในมูลละเมิดไปแล้วหากโจทก์ร่วมจะฟ้องคดีเองโจทก์ร่วมจะต้องฟ้องภายในอายุความการที่โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมมีผลเสมือนเป็นการฟ้องคดีเมื่อนับจากวันเกิดเหตุเป็นเวลาเกิน1ปีแล้วคดีของโจทก์ร่วมจึงขาดอายุความ เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ตายและ ว.ลูกจ้างจำเลยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันโจทก์ที่1ซึ่งเป็นบิดาของผู้ตายจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2299/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิด: การฟ้องเรียกคืนเงินที่ถูกละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบ
โจทก์มิได้ บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ยึดถือทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิอันจะเป็นเหตุให้โจทก์สามารถใช้ สิทธิติดตามและเอาคืนทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา438วรรคสอง,1336แต่กลับบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนที่ราชการกำหนดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำนวน310,670.20บาทและจำเลยต้องรับผิดคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์จึงไม่ใช่การฟ้องคดีเพื่อติดตามเอาทรัพย์สินของโจทก์คืนซึ่งไม่มีกำหนดเวลาเว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิแต่เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในการ ละเมิดตามมาตรา420ซึ่งอยู่ในบังคับ อายุความ1ปีตามมาตรา448วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2299/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิดทางแพ่ง: การรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้ต้องชดใช้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนที่ราชการกำหนดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยต้องรับผิดคืนเงินให้โจทก์ฟ้องของโจทก์ไม่ใช่การฟ้องคดีเพื่อติดตามเอาทรัพย์สินของโจทก์คืนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือเงินของโจทก์ไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์ใช้สิทธิเช่นนั้นเว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิแต่เป็นการฟ้องคดีให้จำเลยรับผิดในการละเมิดของจำเลยต่อโจทก์ตามมาตรา420ซึ่งอยู่ในบังคับอายุความ1ปีตามมาตรา448วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การก่อสร้างรุกล้ำกีดขวางสิทธิของผู้อื่น แม้สร้างในที่ดินของตนเอง ก็เป็นการละเมิด
แม้โจทก์ก่อสร้างตึกผิด พ.ร.บ.ควบคุมอาคารและเทศบัญญัติก็เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะต้องดำเนินการกับโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิอ้างเหตุดังกล่าวก่อสร้างแผ่นเหล็กกั้นจนเป็นเหตุให้ปิดกั้นแสงแดดและทางลมที่จะเข้าตึกโจทก์ได้ และแม้จำเลยจะก่อสร้างในเขตที่ดินของจำเลยก็เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ซึ่งเป็นการละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 421

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิในที่ดินของตนเองจนเกิดความเสียหายต่อผู้อื่นเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แม้โจทก์ก่อสร้างตึกผิดพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯและเทศบัญญัติก็เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะต้องดำเนินการกับโจทก์จำเลยไม่มีสิทธิอ้างเหตุดังกล่าวก่อสร้างแผ่นเหล็กกั้นจนเป็นเหตุให้ปิดกั้นแสงแดดและทางลมที่จะเข้าตึกของโจทก์และแม้จำเลยจะก่อสร้างในเขตที่ดินของจำเลยก็เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา421
of 278