คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลอุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย: การฎีกาโดยไม่ระบุเหตุผลคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยที่ 2 กล่าวในฎีกาว่า "ขอยื่นฎีกาต่อศาล เนื่องจากจำเลยมิได้กระทำผิดในคดีนี้แต่ประการใด ถึงแม้ในการต่อสู้คดีของจำเลยนั้น พยานและคำให้การของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ก็ตาม แต่จำเลยก็ขอยืนยันคำให้การเดิมที่ได้ให้การไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์" โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จำเลยที่ 2 ประสงค์จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาแต่อย่างใด ทั้งมิได้กล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างไร ฎีกาของจำเลยที่ 2 เช่นนี้ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้เถียงดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ และข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาจำเลยที่อ้างว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเพราะจากภาพถ่ายรถของจำเลยเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นภาพถ่ายบริเวณด้านหน้าขวาของรถจำเลยไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวหรือโดนกันแต่อย่างใด คงมีร่องรอยการ-เฉี่ยวโดนกันเฉพาะด้านข้างขวาของรถเท่านั้น การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงขัดกับพยานหลักฐานนั้น แม้ว่าตามภาพถ่ายหมาย จ.1 จะไม่ปรากฏให้สามารตรวจพบได้ชัดเจนว่ามีร่องรอยการเฉี่ยวชนดังที่จำเลยกล่าวอ้างก็ตามแต่ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยข้อ-เท็จจริงโดยตรวจดูจากภาพถ่ายหมาย จ.1 แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ได้นำคำเบิกความของพนักงานสอบสวนซึ่งได้ตรวจสภาพรถยนต์คันเกิดเหตุว่าที่กันชนหน้าขวามีรอยขูดด้วย ซึ่งเป็นการวินิจฉัยตรงตามคำเบิกความของพยาน หาใช่เป็นการวินิจฉัยขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวนไม่ ฎีกาของจำเลยเช่นนี้จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์แก้เฉพาะโทษอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และข้อจำกัดการฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขเฉพาะโทษ
ฎีกาจำเลยที่อ้างว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเพราะจากภาพถ่ายรถของจำเลยเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นภาพถ่ายบริเวณด้านหน้าขวาของรถจำเลยไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวหรือโดนกันแต่อย่างใดคงมีร่องรอยการเฉี่ยวโดนกันเฉพาะด้านข้างขวาของรถเท่านั้น การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงขัดกับพยานหลักฐานนั้นแม้ว่าตามภาพถ่ายหมาย จ.1 จะไม่ปรากฏให้สามารถตรวจพบได้ชัดเจนว่ามีร่องรอยการเฉี่ยวชนดังที่จำเลยกล่าวอ้างก็ตามแต่ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยตรวจดูจากภาพถ่ายหมาย จ.1 แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ได้นำคำเบิกความของพนักงานสอบสวนซึ่งได้ตรวจสภาพรถยนต์คันเกิดเหตุว่าที่กันชนหน้าขวามีรอยขูดด้วย ซึ่งเป็นการวินิจฉัยตรงตามคำเบิกความของพยาน หาใช่เป็นการวินิจฉัยขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวนไม่ ฎีกาของจำเลยเช่นนี้จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์แก้เฉพาะโทษอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 130/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: ราคาทรัพย์สินเกินกำหนด และข้อเท็จจริงเดิมที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว
คดีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าผู้คัดค้านซื้อที่พิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต การที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้คัดค้านรับโอนที่พิพาทมาโดยไม่เสียค่าตอบแทน และไม่สุจริต จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โดยที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ผู้คัดค้านซื้อที่ดินมาโดยรู้อยู่ว่าผู้ร้องครอบครองที่พิพาทอยู่ อันเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาเช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเล็กน้อย และการหมิ่นประมาทจากการกล่าวให้ผู้อื่นเข้าใจผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 จำคุก 1 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นให้ลงโทษปรับสถานเดียวจึงเป็นกรณีศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อย ฎีกาของจำเลยที่ว่าไม่ได้กล่าวถ้อยคำตามที่โจทก์กล่าวหา และฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ข้อความที่จำเลยกล่าวต่อหน้าบุคคลอื่นว่า โจทก์จบด๊อกเตอร์ได้เพราะจำเลยเป็นผู้ส่งเสียทั้งหมด พอจบออกมาก็ไล่เตะลูกเมียทิ้งลูกทิ้งเมียไปหาเมียใหม่ เมียคนแรกถูกหลอกเกือบหมดแล้วคนที่สองถูกหลอกเกลี้ยงตัวเลย นั้น น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจำคุกโดยศาลอุทธรณ์ และข้อจำกัดในการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทง จำคุกกระทงละ 10 ปี เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมจำคุก 20 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 10 ปีเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบ เนื่องจากมิได้โต้แย้งเหตุเกินกำหนดเวลาอุทธรณ์ และไม่ได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
จำเลยยื่นฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยอ้างว่าอุทธรณ์ของจำเลยมีข้อความครบถ้วนตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในข้อที่ว่าจำเลยมิได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ภายในกำหนด ทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงจากคำให้การเดิม ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบด้วยกระบวนพิจารณา
จำเลยให้การว่า ว. กับพวกมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ เพราะได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุม ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมเสียงข้างมากมิใช่ผู้ถือหุ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่ว. กับพวกลงลายมือชื่อฟ้องคดีนี้จึงไม่ใช่การกระทำของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ว. กับพวกไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นธนาคารโจทก์จึงขาดคุณสมบัติที่จะเป็นกรรมการตามข้อบังคับธนาคารโจทก์ ไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อแต่งทนายความให้ฟ้องคดีนั้นเป็นอุทธรณ์ที่อ้างเหตุเรื่องอำนาจฟ้องแตกต่างไปจากคำให้การจึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 940/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การขอรอการลงโทษจำคุกหลังศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลล่าง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน 15 วัน จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก ดังนี้ปัญหาว่ามีเหตุควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยหรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของศาล ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 764/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์โทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษลดลง โจทก์ฎีกาขอให้กลับไปใช้โทษเดิม ถือเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ จึงต้องห้ามฎีกา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงจากจำคุก 33 ปี 4 เดือน เป็นจำคุก 13 ปี4 เดือน นั้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคสองแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17)พ.ศ. 2532 มาตรา 11
of 225