คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กฎหมาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,377 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2813/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องสมบูรณ์ตามกฎหมาย การครอบครองโดยอาศัยสิทธิของผู้อื่นไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
ส.ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่1โดยส.มีเจตนาจะไปทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ตามกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อการซื้อขายรายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมซื้อขายย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ 1 เข้าครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของ ส. อันเป็นการยึดถือที่ดินพิพาทแทน ส. มิใช่ยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของแม้จะครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาเกินสิบปี จำเลยที่ 1ก็มิได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แม้จำเลยที่ 1 จะให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า จำเลยที่ 1ปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาทโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 ไม่จำต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป แต่ศาลชั้นต้นมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย และจำเลยที่ 1 มิได้ยกข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2583/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การย้ายทางภารจำยอม: การยินยอมของเจ้าของภารยทรัพย์ทำให้ทางภารจำยอมย้ายไปยังเส้นทางใหม่ได้ตามกฎหมาย
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินสามยทรัพย์ได้ใช้ทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยมากว่า 10 ปี ทางพิพาทดังกล่าวจึงตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ต่อมาจำเลยขอให้โจทก์ย้ายทางภารจำยอมมายังส่วนอื่นของที่ดินจำเลยเพื่อประโยชน์ของจำเลยทางเส้นใหม่นี้จึงตกเป็นทางภารจำยอมแทนทางเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายเกินสมควรแก่เหตุ และการกระทำเพื่อช่วยเหลือป้องกัน
การที่จำเลยที่ 1 ถูกโจทก์ร่วมพูดจาหมิ่นประมาทว่าเที่ยวชอบเล่นชู้แล้วรังแกและทำร้าย โดยจำเลยที่ 1 เป็นหญิง ส่วนโจทก์ร่วมเป็นชายมีรูปร่างใหญ่กว่าจำเลยที่ 1 มาก ไม่มีหนทางที่จะต่อสู้ได้จำเลยที่ 1 จึงใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วมเพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 80 และมาตรา 69 ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมต่อถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2376/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีมรดกและการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกหลังพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของ ง. เรียกเอาทรัพย์มรดกที่ทายาทของ ง. ยึดถือได้ว่าเพื่อนำมาจัดการตามอำนาจหน้าที่เป็นการฟ้องคดีมรดก ง. ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม2515 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 3 กันยายน 2530 พ้นกำหนด 10 ปีนับแต่ ง. เจ้ามรดกถึงแก่กรรม จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรค 4 โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 เข้าครอบครองทำกินในที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้แบ่งกัน เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทจึงเป็นตัวแทนของทายาทมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเพื่อจัดการแบ่งปันต่อไปได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 แล้ว แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้เช่นนี้ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2256/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่นผู้อื่นและเจ้าพนักงาน: เจตนาและขอบเขตหน้าที่ตามกฎหมาย
จำเลยว่าผู้เสียหายที่ 1 ว่าเป็นผู้หญิงต่ำ ๆ ต่อหน้าผู้อื่นซึ่งเป็นคำพูดที่เหยียดหยามผู้เสียหายที่ 1 ว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีมีศักดิ์ศรีต่ำกว่าผู้หญิงทั่วไปเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายที่ 1ซึ่งหน้า หาใช่เป็นคำพูดในเชิงปรารถปรับทุกข์ไม่ ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ในการปราบปรามสืบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดทางอาญา หาได้เกี่ยวกับกรณีที่มีบุคคลพิพาทกันในทางแพ่งไม่ แม้คู่กรณีนำเรื่องทางแพ่งไปแจ้งให้จัดการไกล่เกลี่ยเปรียบเทียบและผู้เสียหายที่ 2 ทำการไกล่เกลี่ยให้ และจัดการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานก็หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจโดยตรงตามกฎหมายไม่คงเป็นแต่เพียงอัชฌาสัยในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนเท่านั้น การกระทำของผู้เสียหายที่ 2จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของเจ้าพนักงาน แม้จำเลยได้พูดถ้อยคำว่า "มันก็เข้าข้างกัน" ก็ไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2245/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร แม้ผู้เสียหายยินยอม ก็ยังถือเป็นความผิดตามกฎหมาย
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร มุ่งหมายถึงการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอันไม่สมควรทางเพศ แม้การกระทำของจำเลยจะไม่เป็นความผิดฐานอนาจารเนื่องจากผู้เสียหายยินยอม แต่ก็เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารได้ การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนอนค้างคืนที่ขนำในสวนโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยแล้วจำเลยได้กอดปล้ำ หอมแก้ม และจับหน้าอกผู้เสียหายถือได้ว่าจำเลยกระทำการอันไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ตามมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลยอันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่าศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตามประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่าเป็นความผิดทั้งสองกรณี แม้บิดามารดาของผู้เสียหายจะออกไปนอกบ้านขณะที่ผู้เสียหายออกจากบ้านและจำเลยได้พาไปที่ขนำก็ตาม ยังถือว่าผู้เสียหายอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ขนำจึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2210/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีขายทอดตลาด: การปิดประกาศและราคาต่ำกว่าราคาประเมิน ไม่ทำให้การขายไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ. 2522 ข้อ 68 วรรคแรก ที่กำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการปิดประกาศขายทอดตลาดโดยเปิดเผย ณ สถานที่ที่ทรัพย์จะขายตั้งอยู่ด้วย เป็นข้อกำหนดเพื่อประสงค์ให้บุคคลภายนอกที่สนใจมาประมูลซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดเท่านั้น ระเบียบดังกล่าวหาได้เป็นกฎหมายไม่ แม้หากจะไม่มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวแต่เมื่อได้ความว่าจำเลยได้ทราบกำหนดวันขายทอดตลาดตามประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีล่วงหน้าแล้ว ถือได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งวันขายทอดตลาดให้จำเลยทั้งสองซึ่งมีส่วนได้เสียในการบังคับคดีทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 306 แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 306,308 หมวดที่ 2ว่าด้วยวิธียึดทรัพย์อายัดทรัพย์และการจ่ายเงินประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนที่ 3 ว่าด้วยการขายทอดตลาดและระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ. 2522 หมวดที่ 8 ว่าด้วยการขายทรัพย์ไม่มีบทบัญญัติหรือข้อกำหนดว่าในการขายทอดตลาด เมื่อผู้ขายทอดตลาดจะแสดงความตกลงด้วยการเคาะไม้ ถ้าผู้มีส่วนได้เสียคัดค้านว่าราคาต่ำไปยังไม่สมควรแสดงความตกลงขาย ผู้ขายทอดตลาดจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนหรือต้องรอให้ศาลวินิจฉัยข้อคัดค้านนั้นเสียก่อนดังนั้น แม้ไม่มีการดำเนินการดังกล่าวก็หาทำให้การขายทอดตลาดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีและการใช้กฎหมายที่เปลี่ยนแปลง
การนำเช็คไปแลกเงินสดย่อมมีหนี้ในทางแพ่ง การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่เกิดจากการนำเช็คไปแลกเงินสด จึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 (3) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดและตามมาตรา 4 (3) แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534ยังคงบัญญัติว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด แต่อัตราโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 เบากว่าอัตราโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 อันเป็นกรณีที่กฎหมายซึ่งใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำผิด และกฎหมายที่ใช้ในภายหลังเป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534มาตรา 4 (3) ลงโทษจำเลย ตาม ป.อ. มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2137/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจพิจารณาคดีเช็คหลังมีกฎหมายใหม่: ศาลอุทธรณ์ยังคงมีอำนาจพิจารณาได้
ขณะโจทก์ยื่นอุทธรณ์ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ที่โจทก์ฟ้องยังมิได้ประกาศยกเลิกและขณะมีประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติดังกล่าว และให้ใช้ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 แทน ซึ่งอัตราโทษตามกฎหมายใหม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง คดียังค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปได้ ตามที่บทบัญญัติมาตรา 10 แห่งพ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 กำหนดให้อำนาจไว้ และมิใช่กรณีที่จะถือว่าคดีโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลซึ่งมีคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาตามมาตรา 10 แห่งพ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 หมายรวมทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา มิได้หมายถึงเฉพาะแต่ศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2042/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางกรณีผู้ประกอบการเทปไม่แสดงตราตามกฎหมาย แม้เทปผ่านการตรวจแล้ว
เทปหรือวัสดุโทรทัศน์ของกลางจำนวน 100 ม้วน เป็นเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายแล้ว จำเลยผู้ประกอบการมีหน้าที่จัดให้มีการแสดงตรา หมายเลขรหัสบนเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ของกลางตามกฎกระทรวงฉบับที่ 4(พ.ศ. 2531) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 แต่เมื่อไม่มีการแสดงตรา หมายเลขรหัสดังกล่าว จำเลยย่อมมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530มาตรา 6,10,36 และเทปกับวัสดุโทรทัศน์ของกลางดังกล่าว จึงเป็นทรัพย์ที่ถือได้ว่าจำเลยมีไว้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32 ทั้งโจทก์บรรยายคำฟ้องอ้างบทบัญญัติดังกล่าวขอให้ศาลริบ ศาลจึงต้องริบตามคำขอของโจทก์
of 238