พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2542 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากเด็กหญิงและการกระทำโดยประมาทจนถึงแก่ความตาย: จำเลยไม่มีความผิดฐานประมาท
ในวันที่ 7 ตุลาคม 2539 ตอนเช้าเด็กหญิง ณ.(อายุ 14 ปีเศษ)มาหา จ เพื่อขอตามไปทำงานที่จังหวัดสระบุรี จ.กับเด็กหญิง ณ.ไปหา ส.เพื่อขอให้พาไปส่งที่บ้านดงบัง พบจำเลย บ.และ ฉ.กับพวกอีก 1 คน ส.วานจำเลยกับพวกให้ไปส่งแทน จ.กับเด็กหญิง ณ.นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของ ส. ส่วนจำเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์นั่งซ้อนท้ายไปอีกคันหนึ่ง แต่ ส.ขับรถจักรยานยนต์พา จ.กลับไปที่บ้านโนนฤาษีและพักค้างคืนที่บ้านเพื่อน บ. รุ่งขึ้นวันที่ 8 ส.พาเด็กหญิง ณ.ไปพบจำเลยและพากันมารับพยานไปเที่ยว จ.ขอให้ ส.ไปส่ง จ.กับเด็กหญิง ณ.ที่บ้านดงบัง บ.ไม่ยอมพาไป คืนนั้นจำเลยพา จ.กับเด็กหญิง ณ.ไปพักค้างคืนที่กระท่อมของญาติจำเลยจนถึงคืนวันที่ 10 ตุลาคม 2539 การที่จำเลยที่ 1 พบ จ.กับเด็กหญิงณ.ครั้งแรกที่บ้านนายสมัยไม่ใช่บ้านของนายบุญส่งหรือส่งและจำเลยทราบดีว่า จ.กับเด็กหญิง ณ.จะไปบ้านดงบัง ดังนี้ การที่จำเลยพาเด็กหญิง ณ.ไปนอนค้างที่กระท่อมของญาติจำเลยตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2539 ถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2539 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองและผู้ดูแล และไม่ปรากฏว่ามีเหตุอันสมควร ทั้งก่อนหน้านั้น จำเลยก็ทราบดีว่า จ.กับเด็กหญิง ณ.ต้องการจะไปบ้านดงบัง และในวันที่8 ตุลาคม 2539 ที่จำเลยกับ บ.พา จ.กับเด็กหญิง ณ.ไปเที่ยว จ.ขอร้อง บ.ให้ไปส่งคนทั้งสองที่บ้านดงบัง บ.ไม่ยอมพาไป แต่จำเลยกลับพา จ.กับเด็กหญิง ณ.ไปนอนค้างที่กระท่อมของญาติจำเลย พฤติการณ์ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควร การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กหญิง ณ.ไปเสียจากผู้ปกครองและผู้ดูแล
การที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 291 จะต้องมีการกระทำโดยประมาทและการกระทำโดยประมาทนั้นต้องเป็นผลโดยตรงให้เกิดความตายการที่จำเลยร้องบอกให้เด็กหญิง ณ.ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำไปโดยบอกว่าจะลงมาช่วยก็ตามซึ่งเป็นแต่เพียงคำชี้แนะของจำเลย จำเลยหาได้บังคับเด็กหญิง ณ.ให้ต้องว่ายน้ำข้ามไปไม่ เด็กหญิง ณ.มีอายุ 14 ปีเศษ มีวุฒิภาวะพอที่จะรู้ว่าตนเองมีความสามารถพอที่จะว่ายน้ำข้ามไปได้หรือไม่ เมื่อเด็กหญิง ณ.ตัดสินใจว่ายน้ำข้ามไปเป็นการสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยเอง และเด็กหญิง ณ.จมน้ำและถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากกระแสน้ำไหลเชี่ยว โดยจำเลยกับพวกไม่สามารถช่วยเด็กหญิง ณ.ได้ เช่นความตายของเด็กหญิง ณ.หาได้เกิดจากการกระทำของจำเลยไม่ ทั้งไม่ใช่เป็นผลโดยตรงอันเนื่องมาจากการชี้แนะของจำเลย จำเลยจึงมิได้กระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้เด็กหญิงจรุณีถึงแก่ความตาย
การที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 291 จะต้องมีการกระทำโดยประมาทและการกระทำโดยประมาทนั้นต้องเป็นผลโดยตรงให้เกิดความตายการที่จำเลยร้องบอกให้เด็กหญิง ณ.ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำไปโดยบอกว่าจะลงมาช่วยก็ตามซึ่งเป็นแต่เพียงคำชี้แนะของจำเลย จำเลยหาได้บังคับเด็กหญิง ณ.ให้ต้องว่ายน้ำข้ามไปไม่ เด็กหญิง ณ.มีอายุ 14 ปีเศษ มีวุฒิภาวะพอที่จะรู้ว่าตนเองมีความสามารถพอที่จะว่ายน้ำข้ามไปได้หรือไม่ เมื่อเด็กหญิง ณ.ตัดสินใจว่ายน้ำข้ามไปเป็นการสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยเอง และเด็กหญิง ณ.จมน้ำและถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากกระแสน้ำไหลเชี่ยว โดยจำเลยกับพวกไม่สามารถช่วยเด็กหญิง ณ.ได้ เช่นความตายของเด็กหญิง ณ.หาได้เกิดจากการกระทำของจำเลยไม่ ทั้งไม่ใช่เป็นผลโดยตรงอันเนื่องมาจากการชี้แนะของจำเลย จำเลยจึงมิได้กระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้เด็กหญิงจรุณีถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3354/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพักงานเพื่อสอบสวนและการจ่ายค่าจ้าง: สิทธิลูกจ้างเมื่อไม่มีความผิด
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุว่า "หากพนักงานผู้ใดฝ่าฝืนหรือหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามระเบียบวินัยหรือฝ่าฝืนข้อห้ามมิให้ปฏิบัติ พนักงานผู้นั้นจะต้องได้รับโทษทางวินัย อย่างไรก็ดี ก่อนการสั่งลงโทษผู้บังคับบัญชาอาจสั่งพักงานเพื่อการสอบสวนก็ได้ โดยในระหว่างพักงานให้งดจ่ายค่าจ้างและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ โดยการพักงานกรณีนี้ให้กระทำเฉพาะพักงานเพื่อการสอบสวนเท่านั้น มิให้พักงานเพื่อรอผลคดี ซึ่งการพักงานเพื่อการสอบสวนนี้มิใช่เป็นการพักงานเพื่อการลงโทษ" เห็นได้ว่า การพักงานเพื่อการสอบสวนตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวเพื่อให้ได้ความแจ้งชัดว่าลูกจ้างผู้ถูกพักงานได้กระทำความผิดตามที่ถูกสอบสวนหรือไม่ ทั้งการพักงานดังกล่าวมิใช่เป็นการลงโทษ แม้ระหว่างการพักงานนายจ้างมีสิทธิงดจ่ายค่าจ้างและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานก็ตาม แต่ระหว่างการพักงานเป็นเพียงนายจ้างให้ลูกจ้างผู้นั้นหยุดงานเป็นการชั่วคราวเท่านั้น สภาพการเป็นนายจ้างและลูกจ้างยังคงมีอยู่ต่อไป ดังนี้ หากการสอบสวนปรากฏว่าลูกจ้างผู้นั้นมิได้กระทำความผิด นายจ้างจะลงโทษลูกจ้างผู้นั้นไม่ได้และนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างการพักงานให้แก่ลูกจ้าง
จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง จำเลยย่อมมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ตลอดระยะเวลาที่โจทก์ทำงานให้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 575 จำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์เพื่อการสอบสวน เป็นกรณีที่จำเลยมิให้โจทก์ทำงาน ดังนี้การที่โจทก์มิได้ทำงานให้จำเลยจึงมิใช่เป็นความผิดของโจทก์ จำเลยจะยกเหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างหาได้ไม่
จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง จำเลยย่อมมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ตลอดระยะเวลาที่โจทก์ทำงานให้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 575 จำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์เพื่อการสอบสวน เป็นกรณีที่จำเลยมิให้โจทก์ทำงาน ดังนี้การที่โจทก์มิได้ทำงานให้จำเลยจึงมิใช่เป็นความผิดของโจทก์ จำเลยจะยกเหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3317/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่อเจ้าพนักงาน: การเสนอสินบนเพื่อขอคืนของกลาง
แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลยเสนอจะให้เงินแก่ ม. และ ว. ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเสนอจะให้เงินแก่ ก. แต่ ม. กับ ว. ก็เป็นผู้ร่วมยึดสินค้าของกลางกับ ก. ข้อแตกต่างจึงไม่ใช่สาระสำคัญ ทั้งจำเลยนำสืบปฏิเสธว่ามิได้เสนอจะให้เงินแก่ผู้ใดทั้งสิ้น จึงมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3227/2542 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: การเรียกรับเงินเพื่อวิ่งเต้นคดีนอกสถานที่ ไม่ถือเป็นความผิด
ผู้ถูกกล่าวหาเรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาและจำเลย เพื่อนำไปวิ่งเต้นพนักงานอัยการและเจ้าพนักงานตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจโดยไม่ปรากฏว่าจะนำเงินไปให้ผู้พิพากษาเพื่อเป็นอามิสสินจ้างในการดำเนินคดีในศาลและไม่ปรากฏว่ามีการมอบเงินให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาในบริเวณศาล แม้การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจะมีจุดมุ่งหมายให้เกิดผลแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล แต่เมื่อการกระทำของผู้ถูกกล่าวหามิได้เกิดขึ้นในบริเวณศาลแล้ว จะอาศัยแต่ผลจากการกระทำที่อาจก่อให้เกิดผลเสียหายแก่รูปคดีมาชี้ขาดว่าผู้ถูกกล่าวหาประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลไม่ได้
เมื่อพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนของศาลชั้นต้นไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า ผู้ถูกกล่าวหาประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลไปถึงผู้ถูกกล่าวหาอื่นที่มิได้อุทธรณ์ฎีกาได้ด้วยตาม ป.วิ.อ.มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
เมื่อพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนของศาลชั้นต้นไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า ผู้ถูกกล่าวหาประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลไปถึงผู้ถูกกล่าวหาอื่นที่มิได้อุทธรณ์ฎีกาได้ด้วยตาม ป.วิ.อ.มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแยกกระทงความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ
ข้อเท็จจริงซึ่งฟังเป็นยุติในศาลอุทธรณ์ได้ความว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมยาเสพติดให้โทษของกลางและยาเสพติดให้โทษชนิด 3,4 เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดได้ในคดีนี้มีจำนวน 6 เม็ด โดยจำเลยจำหน่ายให้แก่สายลับจำนวน 3 เม็ด ส่วนอีก 3 เม็ด ตรวจค้นพบซ่อนอยู่ในช่องเสียบแผ่นซี ดี จึงเห็นได้ชัดว่า ลักษณะของการกระทำของจำเลยแตกต่างกัน ต่างขั้นตอนกัน สามารถแยกการกระทำแต่ละอย่างต่างหากกันได้ ทั้งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ก็มิได้นิยามความหมายของคำว่า จำหน่าย ให้มีความหมายรวมถึง การมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย แสดงว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มุ่งประสงค์จะลงโทษการมี ยาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษทั้งสองกรณี ดังนั้น เมื่อจำเลยมียาเสพติดให้โทษ ชนิด 3,4 เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนอีกกระทงหนึ่งการกระทำของจำเลยจึงมิได้เป็นความผิดกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิด พ.ร.บ.ที่ดิน: ช่วงเวลาสำคัญในการพิจารณาความผิดตามมาตรา 9, 108 และ 108 ทวิ
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 และมาตรา 108 ทวิบัญญัติถึงผู้กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 9 ออกเป็น 2 ช่วงระยะเวลา คือ หากผู้ฝ่าฝืนมาตรา 9 อยู่ก่อน วันที่ 4 มีนาคม 2515 แล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจะต้อง ปฏิบัติตามขั้นตอนตามที่มาตรา 108 บัญญัติไว้ก่อน ผู้ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบจึงมีความผิดตามมาตรา 108 แต่ถ้า กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 9 ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2515 เป็นต้นไป แล้ว ผู้ฝ่าฝืนตามมาตรา 108 ทวิ มีความผิดทันทีโดยพนักงาน เจ้าหน้าที่ไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนใด ๆ ทั้งสิ้น บทบัญญัติ ทั้งสองมาตรานี้จึงบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำผิด มาตรา 9 ไว้ต่างกัน โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2533 เวลากลางวันและ กลางคืนติดต่อกัน จำเลยปลูกบ้านในที่ดินสาธารณประโยชน์ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งประชาชนใช้ร่วมกัน และเป็นที่ดินของรัฐ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108,108 ทวิ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยปลูกบ้าน ตามฟ้องก่อนวันที่ 4 มีนาคม 2515 แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่า ที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านบางส่วนเป็นทางสาธารณประโยชน์ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โดยจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองและไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9,108 ทวิ หากเป็นความผิดก็อาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 และตามข้อเท็จจริงที่โจทก์ กล่าวในฟ้อง โจทก์ไม่ได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงดังเช่นที่ปรากฏ ในทางพิจารณาจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ จึงไม่อาจ ลงโทษจำเลยตามมาตรา 108 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานวัตถุ-เอกสารประกอบคดี-การขายยาเสพติด: หลักเกณฑ์การนำสืบและการพิสูจน์ความผิด
ธนบัตรของกลางเป็นพยานวัตถุที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย แม้จะมิได้ลงบันทึกประจำวันไว้ โจทก์ก็อ้างเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 226 เพราะไม่มีกฎหมายห้าม
แผนที่เกิดเหตุเป็นเพียงพยานเอกสารจำลองถึงที่เกิดเหตุตามที่พนักงานสอบสวนได้จัดทำขึ้น แม้จะมีระเบียบให้พนักงานสอบสวนจัดทำขึ้นเพื่อประกอบคดีแต่ถ้าพนักงานสอบสวนมิได้จัดทำ ก็หาทำให้พยานหลักฐานอื่นที่โจทก์นำสืบเสียไปแต่อย่างใดไม่ หากพยานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยได้โดยไม่จำต้องมีแผนที่เกิดเหตุ
การที่จำเลยเอาเมทแอมเฟตามีนมาขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อแม้สายลับจะไม่มีเจตนาซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยมาเพื่อเสพหรือแสวงหาประโยชน์อื่นใดจากเมทแอมเฟตามีน ก็ถือว่าจำเลยได้ขายเมทแอมเฟตามีนตามบทนิยามคำว่าขายที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ 2518มาตรา 4 แล้ว
แผนที่เกิดเหตุเป็นเพียงพยานเอกสารจำลองถึงที่เกิดเหตุตามที่พนักงานสอบสวนได้จัดทำขึ้น แม้จะมีระเบียบให้พนักงานสอบสวนจัดทำขึ้นเพื่อประกอบคดีแต่ถ้าพนักงานสอบสวนมิได้จัดทำ ก็หาทำให้พยานหลักฐานอื่นที่โจทก์นำสืบเสียไปแต่อย่างใดไม่ หากพยานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยได้โดยไม่จำต้องมีแผนที่เกิดเหตุ
การที่จำเลยเอาเมทแอมเฟตามีนมาขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อแม้สายลับจะไม่มีเจตนาซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยมาเพื่อเสพหรือแสวงหาประโยชน์อื่นใดจากเมทแอมเฟตามีน ก็ถือว่าจำเลยได้ขายเมทแอมเฟตามีนตามบทนิยามคำว่าขายที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ 2518มาตรา 4 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2425/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบอาวุธปืนของกลาง: ปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่ได้รับการยกขึ้นสู่การพิจารณา
โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง ป.อ.มาตรา 371, 376 ฐานพาอาวุธปืนฯ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสองซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ปรับ 2,000 บาท ฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ ปรับ 500 บาทรวมปรับ 2,500 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์แต่เฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงว่าศาลชั้นต้นไม่ควรใช้ดุลพินิจริบอาวุธปืนของกลาง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่า อาวุธปืนของกลางมิใช่ทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดหรือใช้ในการกระทำความผิด จึงริบไม่ได้ตาม ป.อ.มาตรา 32 และ 33จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งคดีนี้เมื่อจำเลยยอมรับว่าเป็นผู้ใช้อาวุธปืนของจำเลยยิงในหมู่บ้านจริง อาวุธปืนของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด ข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 15 ประกอบ ป.วิ.พ.มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อไม่ปิดอากรแสตมป์ ทำให้หนี้ไม่บังคับได้ เช็คเพื่อชำระหนี้จึงไม่มีความผิด
สัญญาเช่าซื้ออันเป็นมูลหนี้ตามเช็คพิพาทมิได้ปิดอากรแสตมป์จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 และรับฟังไม่ได้ว่ามีการทำสัญญาเช่าซื้อกันเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 572 หนี้ตามสัญญาเช่าซื้อย่อมไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมาย แม้โจทก์จะสามารถนำสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวไปปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องในภายหลังและใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ก็ตาม แต่ก็เป็นการทำให้หนี้นั้นมีหลักฐานและสามารถบังคับได้ในภายหลังวันที่เช็คพิพาท ถึงกำหนดใช้เงิน อันเป็นวันที่จำเลยออกเช็ค ดังนี้ หนี้ ตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ รายนี้จึงยังบังคับตามกฎหมายไม่ได้ การออกเช็คของจำเลย จึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย และการกระทำของจำเลยย่อมขาดองค์ประกอบความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 คดีโจทก์จึงไม่มีมูล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อไม่ปลอดอากรแสตมป์ ทำให้หนี้ไม่บังคับได้ การออกเช็คจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
สัญญาเช่าซื้ออันเป็นมูลหนี้ตามเช็คพิพาทมิได้ปลอดอากรแสตมป์ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง ตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 และรับฟังไม่ได้ว่ามีการทำ สัญญาเช่าซื้อกันเป็นหนังสือตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 หนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ ย่อมไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมาย แม้โจทก์จะสามารถ นำสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวไปปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องใน ภายหลังและใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ก็ตาม แต่ก็เห็นการทำให้หนี้นั้นมีหลักฐานและสามารถบังคับได้ ในภายหลัง วันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงิน อันเป็นวันที่ จำเลยออกเช็ค ดังนี้ หนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยออก เช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้รายนี้จึงยังบังคับตามกฎหมายไม่ได้การออกเช็คของจำเลยจึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ ที่บังคับได้ตามกฎหมาย และการกระทำของจำเลยย่อมขาด องค์ประกอบความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิด จากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 คดีโจทก์จึงไม่มีมูล