พบผลลัพธ์ทั้งหมด 993 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคำร้องทุกข์ในคดีความผิดต่อส่วนตัว ย่อมระงับสิทธิในการฟ้อง
คดีความผิดฐานกระทำอนาจารซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวอันยอมความได้นั้น ถ้ามารดาของผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการได้ถอนคำร้องทุกข์โดยผู้เสียหายยินยอมไม่คัดค้านสิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) อัยการโจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะดำเนินคดีนั้นต่อไปอีก ฉะนั้น การที่อัยการโจทก์แถลงขอผัดเวลายื่นคำร้องขอถอนฟ้องโดยจะไปขออนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดก่อน เพื่อมิให้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ย่อมไม่บังเกิดผลแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงินภายหลังการกู้ยืม แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือในตอนแรก ก็สามารถฟ้องร้องได้
ในเวลาที่กู้ยืมเงิน กัน คู่กรณีหาได้ทำหลักฐานแห่ง การกู้ยืนเป็นหนังสือไว้ไม่ แต่ในเวลาต่อมา ถ้าได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญเกิดขึ้นแล้ว ผู้ให้กู้ยืมก็ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีได้
(หลักฐานที่มีขึ้นในภายหลัง คือ หนังสือฉบับหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 มีข้อความแสดงว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเงินให้แก่โจทก์ภายในเดือน 12 โทรเลขของจำเลยที่ 1 ขอผัดผ่อน การชำระหนี้ 2 ฉบับ และถ้อยคำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยา ของจำเลยที่ 1 ซึ่งให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานอำเภอว่า จำเลยทั้งสองได้กู้เงินมาจากโจทก์เงิน)
เอกสารหนังสือฉบับหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยไว้เป็นสำคัญ มีข้อความแสดงว่า จำเลยจำชำระเงินให้แก่โจทก์ภายในเดือน 12 โจทก์ย่อมนำสืบประกอบได้ว่าหนี้นั้นเป็นหนี้เกิดจากการกู้ยืน
(หลักฐานที่มีขึ้นในภายหลัง คือ หนังสือฉบับหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 มีข้อความแสดงว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเงินให้แก่โจทก์ภายในเดือน 12 โทรเลขของจำเลยที่ 1 ขอผัดผ่อน การชำระหนี้ 2 ฉบับ และถ้อยคำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยา ของจำเลยที่ 1 ซึ่งให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานอำเภอว่า จำเลยทั้งสองได้กู้เงินมาจากโจทก์เงิน)
เอกสารหนังสือฉบับหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยไว้เป็นสำคัญ มีข้อความแสดงว่า จำเลยจำชำระเงินให้แก่โจทก์ภายในเดือน 12 โจทก์ย่อมนำสืบประกอบได้ว่าหนี้นั้นเป็นหนี้เกิดจากการกู้ยืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงิน: หลักฐานภายหลังเกิดหนี้ใช้ได้
ในเวลากู้ยืมเงินกัน คู่กรณีหาได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือไว้แต่ต่อมาภายหลังได้มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ผู้ให้กู้ก็ย่อมฟ้องร้องบังคับคดีได้
เอกสารหนังสือฉบับหนึ่ง ลงลายมือชื่อจำเลยไว้เป็นสำคัญมีข้อความแสดงว่า จำเลยจะชำระเงินให้แก่โจทก์ภายในเดือน 12 ดังนี้ โจทก์ย่อมนำสืบประกอบได้ว่า หนี้นั้นเป็นหนี้เกิดจากการกู้ยืม
เอกสารหนังสือฉบับหนึ่ง ลงลายมือชื่อจำเลยไว้เป็นสำคัญมีข้อความแสดงว่า จำเลยจะชำระเงินให้แก่โจทก์ภายในเดือน 12 ดังนี้ โจทก์ย่อมนำสืบประกอบได้ว่า หนี้นั้นเป็นหนี้เกิดจากการกู้ยืม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความหมายของคำว่า 'วิวาท' ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 372 และขอบเขตการฟ้องร้อง
บรรยายฟ้องว่า จำเลยวิวาทต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันในสาธารณสถานทำให้เสียความสงบเรียบร้อย ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยได้ด่าและโต้เถียงกัน ก็ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 372 ได้ ไม่ถือว่าต่างกับฟ้อง เพราะคำว่าวิวาทหมายถึงการโต้เถียง ทุ่มเถียง ทะเลาะกันทั้งมาตรา 372 นี้ ยังบัญญัติถึงการกระทำโดยประการอื่นใดให้เสียความสงบเรียบร้อยไว้อีกด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1674/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีเพื่อต่อสู้สิทธิจากการอ้างหนี้ปลอม ไม่เข้าข่ายการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 240 และไม่ขาดอายุความ
ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยว่าสมคบกันทำสัญญากู้ปลอมขึ้นฟ้องร้องโดยมิได้เป็นหนี้ต่อกัน เพื่ออาศัยสิทธิตามคำพิพากษามาขอเฉลี่ยในคดีที่โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้น โจทก์ย่อมฟ้องได้และมิใช่เป็นเรื่องฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1546/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการจัดการมรดก: การฟ้องเรียกทรัพย์มรดกที่ถูกปิดบัง ไม่ใช่การจัดการมรดกโดยรวม
โจทก์ฟ้องพี่ชายต่างมารดาซึ่งร่วมเป็นผู้จัดการมรดกของบิดาโจทก์ว่าปิดบังทรัพย์มรดกบางรายการ โจทก์เคยบอกให้นำมาแบ่งก็เพิกเฉย ขอให้บังคับให้ชำระเงินส่วนแบ่งของโจทก์ จำเลยให้การว่า การจัดการแบ่งมรดกรายนี้มารดาโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับจำเลยและนางสาวพรรณี ได้ทำสัญญาแบ่งมรดกให้ทายาททุกคนได้รับเรียบร้อยไปแล้วจนบัดนี้เป็นเวลาเกินกว่า 5 ปี โจทก์ไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องร้องได้แล้ว ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยอ้างอายุความที่เกี่ยวแก่การจัดการมรดก ซึ่งห้ามมิให้ทายาทฟ้องเกินกว่า 5 ปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733 แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกมรดกที่จำเลยปิดบังไว้ ไม่เกี่ยวกับการจัดการมรดก ทั้งปรากฎว่าเมื่อปี พ.ศ. 2499 (นับถึงวันฟ้องไม่เกิน 5 ปี) ก็ยังมีการแบ่งมรดกกันอีก คดีจึงไม่ขาดอายุความตามมาตรา 1733 และคดีนี้เป็นที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีความประสงค์ยกอายุความซึ่งเกี่ยวด้วยการจัดการมรดกขึ้นต่อสู้โดยตรงแต่อย่างเดียว มิได้ยกอายุความตามมาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้ จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าขาดอายุความตามมาตรา 1754 หรือไม่ จำเลยจะอ้างว่าจำเลยได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว
แม้ไม่ได้อ้างบทมาตรามาด้วย ก็เป็นหน้าที่ศาลที่จะวินิจฉัยว่าจะยกกฎหมายใดมาปรับคดีและมีอายุความเท่าใดนั้น หาได้ไม่
แม้ไม่ได้อ้างบทมาตรามาด้วย ก็เป็นหน้าที่ศาลที่จะวินิจฉัยว่าจะยกกฎหมายใดมาปรับคดีและมีอายุความเท่าใดนั้น หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการเรียกคืนทรัพย์มรดกจากผู้ไม่มีสิทธิ แม้มีการฟ้องร้องเรื่องเดียวกันไปแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพี่สาวและน้องสาวของเจ้ามรดก จำเลยเป็นภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดก ที่ดิน 3 แปลงท้ายฟ้อง เป็นสินเดิมของเจ้ามรดก ที่ดิน 3 แปลงท้ายฟ้องเป็นสินเดิมของเจ้ามรดก เมื่อเจ้ามรดกตายทรัพย์ดังกล่าวจึงเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์และทายาท จำเลยไม่ใช่ภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายวจึงไม่มีสิทธิรับมรดก โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยส่งมอบทรัพย์มรดกให้แล้ว จำเลยปฏิเสธ โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้ส่งมอบทรัพย์มรดกให้แล้ว จำเลยปฏิเสธ โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้ส่งมอบทรัพย์มรดกเป็นคดีหนึ่งแล้ว บัดนี้ ยังมีทรัพย์มรดกตามบัญชีท้ายฟ้องอีก 3 แปลง ขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นสินเดิมของเจ้ามรดก โจทก์และทายาทเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกทรัพย์นี้ ให้จำเลยส่งมอบทรัพย์ให้ ดังนี้ เป็นการฟ้องแต่ ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากผู้ไม่มีอำนาจยึดถือไว้ และเป็นที่ดินต่างแปลง เป็นทรัพย์คนละอย่างกับทรัพย์ในคดีก่อน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกได้อีก ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (1)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 40/2504)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 40/2504)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องร้องเริ่มนับเมื่อส่งมอบที่ดินโดยปราศจากเงื่อนไข
จำเลยขายที่ดินให้โจทก์ พร้อมทั้งสัญญาว่า เมื่อสอบเขตแล้วที่ดินขาดจำนวนไปเท่าใด จำเลยยอมคืนเงินให้ตามส่วนนั้น ถึงแม้จำเลยจะส่งมอบที่ดินให้โจทก์แล้วก็ตาม ถ้าเป็นการส่งมอบโดยมีเงื่อนไขโดยจะต้องตรวจสอบเขตที่ดินให้รู้จำนวนแน่นอน จึงจะถือว่าการส่งมอบบริบูรณ์นั้น อายุความฟ้องร้องต้องเริ่มนับแต่มีการส่งมอบที่สมบูรณ์ปราศจากเงื่อนไขแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แม้โจทก์มิได้ขอคืนทรัพย์ แต่การฟ้องมีประเด็นโต้แย้งสิทธิในทรัพย์สิน จึงต้องคิดค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์
(1) การที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าตนมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย นั้น ย่อมหมายความว่า สิทธิของโจทก์ก็คือ สิทธิที่จะรับมรดกของผู้ตายให้ตกทอดมายังตนตั้งแต่เจ้ามรดกตาย ดังนั้น แม้โจทก์จะขอเพียงให้ทำลายพินัยกรรม แต่หาได้ขอให้ศาลพิพากษาให้เอาทรัพย์ที่จำเลยโแย้งคืนมาเป็นของโจทก์ไม่ก็ตาม แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องแล้วว่า ก่อนตายเจ้ามรดกมีทรัพย์สินเป็นมรดกหลายอย่าง ทุกข์ของโจทก์ที่ตั้งข้อพิพาท ก็คือ กล่าวอ้างว่าที่ดิน 2 แปลงตามโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยตกทอดมาจากผู้ตาย แต่จำเลยเอาไปเสีย โดยอ้างว่าผู้ตายทำพินัยกรรมยกให้ อย่างนี้แสดงว่าโจทก์ได้กล่าวอ้างให้ปรากฎแล้วว่าได้มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน โจทก์เสนอคดีต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55
(2) ทุกข์ของโจทก์ที่กล่าวมา ก็คือ การที่ไม่ได้ที่ดิน 2 แปลงนั้น จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 ประกอบตาราง (1) 1 ต้องคิดค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์สินที่พิพาท การที่โจทก์ไม่ได้ขอเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดิน 2 แปลงนั้น เป็นความผิดของโจทก์เอง จะเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์หาได้ไม่ (อ้างคำสั่งที่ 1559/2493) ส่วนจะเป็นการพิพากษาให้เกินคำขอหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2505)
(2) ทุกข์ของโจทก์ที่กล่าวมา ก็คือ การที่ไม่ได้ที่ดิน 2 แปลงนั้น จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 ประกอบตาราง (1) 1 ต้องคิดค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์สินที่พิพาท การที่โจทก์ไม่ได้ขอเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดิน 2 แปลงนั้น เป็นความผิดของโจทก์เอง จะเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์หาได้ไม่ (อ้างคำสั่งที่ 1559/2493) ส่วนจะเป็นการพิพากษาให้เกินคำขอหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยืมเงินทดรองของทางราชการไม่ใช่การยืมเงินทั่วไป หากยักยอกถือเป็นความผิดอาญา แม้มีระเบียบให้ฟ้องเรียกคืนทางแพ่งได้
จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ให้ยืมเงินทดรองเพื่อนำไปซื้อสิ่งของตามหน้าที่ของจำเลย แต่เอาเงินไปใช้เสีย ดังนี้ เป็นความผิดทางอาญาแล้ว เพราะการยืมเงินทดรองของทางราชการหรือเทศบาลหามีลักษณะเหมือนการยืมเงินธรรมดาในระหว่างเอกชนด้วยกันไม่