คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ลักทรัพย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,595 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการหลอกลวงเอาทรัพย์สินไปจากผู้อื่น การกระทำเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงมากกว่าลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่าขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ ได้ความว่าจำเลยมาเอารถจักรยาน 2 ล้อของผู้เสียหายซึ่งฝากไว้กับนายจันทร์อ้างว่าจะเอาไปให้ผู้เสียหายนายจันทร์เห็นว่าจำเลยกับผู้เสียหายเป็นเพื่อนกันและมาฝากรถด้วยกันจึงมอบให้ไปแล้วจำเลยนำไปเป็นประโยชน์ของตน หาได้นำไปคืนให้ผู้เสียหายไม้ เห็นได้ว่าจเลยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกแล้วหลอกลวงให้นายจันทร์หลงเชื่อด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จจนได้รถคันนั่นไปจากนายจันทร์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลก็ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษจำเลยที่เคยต้องโทษลักทรัพย์ภายใน 5 ปี แม้ไม่ได้อ้างบทมาตราในคำขอท้ายฟ้อง
บรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาจำคุกฐานลักทรัพย์มาแล้วพ้นโทษไม่เกิน 5 ปี ขอให้เพิ่มโทษแม้ไม่อ้างบทมาตราในคำขอท้ายฟ้องศาลเพิ่มโทษได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์สลากกินแบ่งที่ถูกรางวัล: ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องเงินรางวัลคืนจากจำเลย
สลากกินแบ่งของผู้เสียหายที่จำเลยลักไป เป็นสลากกินแบ่งที่ถูกรางวัลแล้วจึงเป็นทรัพย์สินที่มีราคาเท่ากับเงินรางวัลที่จะได้รับ ซึ่งเป็นราคาทรัพย์ที่จำเลยลักไปโดยแท้จริง เมื่อจำเลยนำไปรับเงิน ผู้เสียหายย่อมหมดโอกาสที่จะได้รับเงินรางวัล เท่ากับว่าต้องสูญเสียเงินจำนวนนั้นไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยโดยตรง พนักงานอัยการจึงมีสิทธิขอให้จำเลยคืนเงินรางวัลแก่ผู้เสียหายได้
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2520

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์สลากกินแบ่งที่ถูกรางวัล ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องเงินรางวัลคืนได้
สลากกินแบ่งของผู้เสียหายที่จำเลยลักไป เป็นสลากกินแบ่งที่ถูกรางวัลแล้วจึงเป็นทรัพย์สินที่มีราคาเท่ากับเงินรางวัลที่จะได้รับ ซึ่งเป็นราคาทรัพย์ที่จำเลยลักไปโดยแท้จริง เมื่อจำเลยนำไปรับเงิน ผู้เสียหายย่อมหมดโอกาสที่จะได้รับเงินรางวัล เท่ากับว่าต้องสูญเสียเงินจำนวนนั้นไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยโดยตรง พนักงานอัยการจึงมีสิทธิขอให้จำเลยคืนเงินรางวัลแก่ผู้เสียหายได้(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2520)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 745/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์ผงดินของขลังในพระพุทธรูป: ความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ม.335 (1)(7) ไม่ใช่ความผิดตาม ม.335 ทวิ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันลักเอาผงดินของขลังซึ่งเป็นวัตถุในทางศาสนาที่ทำให้พระพุทธรูปมีความขลัง และทรงคุณค่าในความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอัดบรรจุอยู่ในพระพุทธรูป "พระครูเหล็ก" จำนวนหนัก 4.50 กรัม ประมาณราคาไม่ได้ของวัดแจ้งสว่างไป ดังนี้ เป็นฟ้องที่ชัดเจนแล้วว่าผงดินของขลังและพระพุทธรูป "พระครูเหล็ก" เป็นของวัดแจ้งสว่าง ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย
ผงดินของขลังที่บรรจุในฐาน 4 องค์ พระพุทธรูปได้มาจากแหล่งสำคัญในทางพุทธศาสตราที่ประชาชนเคารพนับถือ โดยสภาพเป็นผงดินธรรมดา การนำมาบรรจุในฐานองค์พระพุทธรูปเพื่อให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระพุทธรูปยิ่งขึ้นนั้น ไม่ใช่วัตถุทางศาสนาซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน และคำว่า "ส่วนหนึ่งส่วนใดของพระพุทธรูป" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2512 มาตรา 3 นั้น หมายถึงส่วนที่ประกอบขึ้นเป็นรูปร่างพระพุทธรูป เช่น พระเศียร พระหัตถ์ พระกร และพระบาท ฯลฯ ซึ่งถ้าหากส่วนหนึ่งส่วนใดถูกตัดหรือถูกทำลายย่อมทำให้พระพุทธรูปขาดความสมบูรณ์ ผงดินของขลังที่บรรจุอยู่ในฐานองค์พระพุทธรูป แม้จะถูกนำออกไปก็หาทำให้พระพุทธรูปขาดความสมบูรณ์ไปไม่ รูปลักษณะของพระพุทธรูปยังคงอยู่ในสภาพเดิม ผงดินของขลังจึงไม่เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของพระพุทธรูป การที่จำเลยลักเอาผงดินของขลังไปจึงไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว
เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งหกไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2512 มาตรา 3 ตามที่จำเลยที่ 6 แต่ผู้เดียวได้ฎีกาขึ้นมา แต่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1)(7) ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ด้วยก็ตาม โดยที่เป็นเหตุในลักษณะคดี จึงต้องมีผลถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 745/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์ผงดินของขลังจากพระพุทธรูป: ความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ม.335(1)(7) ไม่ใช่ความผิดตาม ม.335ทวิ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันลักเอาผงดินของขลังซึ่งเป็นวัตถุในทางศาสนาที่ทำให้พระพุทธรูปมีความขลังและทรงคุณค่าในความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอัดบรรจุอยู่ในพระพุทธรูป 'พระครูเหล็ก' จำนวนหนัก 4.50 กรัม ประมาณราคาไม่ได้ของวัดแจ้งสว่างไปดังนี้ เป็นฟ้องที่ชัดเจนแล้วว่าผงดินของขลังและพระพุทธรูป 'พระครูเหล็ก' เป็นของวัดแจ้งสว่างฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย
ผงดินของขลังที่บรรจุในฐานองค์พระพุทธรูปได้มาจากแหล่งสำคัญในทางพุทธศาสนาที่ประชาชนเคารพนับถือ โดยสภาพเป็นผงดินธรรมดา การนำมาบรรจุในฐานองค์พระพุทธรูปเพื่อให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระพุทธรูปยิ่งขึ้นนั้นไม่ใช่วัตถุทางศาสนาซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน และคำว่า 'ส่วนหนึ่งส่วนใดของพระพุทธรูป' ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2512 มาตรา 3 นั้นหมายถึงส่วนที่ประกอบขึ้นเป็นรูปร่างพระพุทธรูป เช่น พระเศียร พระหัตถ์ พระกร และพระบาท ฯลฯ ซึ่งถ้าหากส่วนหนึ่งส่วนใดถูกตัดหรือถูกทำลายย่อมทำให้พระพุทธรูปขาดความสมบูรณ์ผงดินของขลังที่บรรจุอยู่ในฐานองค์พระพุทธรูป แม้จะถูกนำออกไปก็หาทำให้พระพุทธรูปขาดความสมบูรณ์ไปไม่ รูปลักษณะของพระพุทธรูปยังคงอยู่ในสภาพเดิม ผงดินของขลังจึงไม่เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของพระพุทธรูปการที่จำเลยลักเอาผงดินของขลังไปจึงไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว
เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งหกไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2512 มาตรา 3 ตามที่จำเลยที่ 6 แต่ผู้เดียวได้ฎีกาขึ้นมา แต่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7) ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ด้วยก็ตาม โดยที่เป็นเหตุในลักษณะคดี จึงต้องมีผลถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษเด็กอายุ 12 ปีในคดีลักทรัพย์ ซึ่งถูกจำกัดสิทธิการอุทธรณ์ตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยซึ่งมีอายุ 12 ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด 6 ปี แต่อย่าให้เกินกว่าจำเลยมีอายุครบ 18 ปี จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 (2) โดยบิดาจำเลยขอรับตัวไปและจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาล ดังนี้ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาดังกล่าวไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะอุทธรณ์ได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ (1) ถึง (4) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์ในคดีลักทรัพย์/รับของโจร ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพื่อย้อนสำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรไก่ของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนข้อหาฐานรับของโจรให้ยกจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องในความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์ตั้งประเด็นวินิจฉัยว่าจำเลยรับของโจรไถ่ของกลางหรือไม่ แล้วพิพากษากลับให้ยกฟ้อง หาได้วินิจฉัยถึงความผิดฐานลักทรัพย์ตามอุทธรณ์ของจำเลยไม่ ดังนี้ เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์ จำเป็นที่จะต้องย้อนสำนวนเนื่องจากศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา และเพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยเป็นไปตามลำดับศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2), 225 ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ของจำเลยใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้รับขนรับผิดชอบการลักทรัพย์โดยลูกจ้าง การมีผู้โดยสารไปด้วยไม่เปลี่ยนลักษณะการขนส่ง
ผู้รับขนของโดยรถยนต์ต้องรับผิดในการที่ของที่รับขนถูกลูกจ้างของผู้รับขนลักไป การที่ผู้ส่งให้คนของผู้ส่งขี่รถจักรยานยนต์ตามไปด้วย ไม่ทำให้เปลี่ยนลักษณะรับขนเป็นอย่างอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวิ่งราวทรัพย์ vs. ลักทรัพย์: การแย่งทรัพย์สินและคำขู่ที่ไม่ชัดเจน
จำเลยลูบคลำตามเสื้อกางเกงผู้เสียหาย และพูดขอแว่นตาที่ผู้เสียหายสวมอยู่ ผู้เสียหายไม่ให้จำเลยแย่งแว่นตาไปจากผู้เสียหายผู้เสียหายแย่งคืนมาได้ จำเลยแย่งไปได้อีกแล้วพูดว่าถ้าเอ็งมีอาวุธกูแทงเสียแล้ว และเอามือล้วงใต้เสื้อตรงขอบกางเกงหน้าท้อง ดังนี้เป็นการวิ่งราวแว่นตา แต่ไม่เป็นการขู่ว่าจะทำร้าย โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยฉกฉวยเอาทรัพย์ไปซึ่งหน้า ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลลงโทษแต่ฐานลักทรัพย์
of 160