คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สุจริต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,168 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1790/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินโดยสุจริตตามมาตรา 1312 ผู้สร้างเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนไม่ต้องรื้อ
การสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินผู้อื่นโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 นั้น หมายความว่าผู้สร้างโรงเรือนต้องรู้ในขณะสร้างว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของคนอื่น จึงจะเรียกได้ว่าไม่สุจริต ถ้าผู้สร้างเข้าใจว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของตนจึงสร้างโรงเรือนรุกล้ำไปครั้นต่อมาจึงทราบว่าที่ตรงรุกล้ำนั้นไม่ใช่ของตนต้องถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต
ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์อ้างว่าจำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวเข้ามาในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต อ้างเพียงว่าที่ดินที่จำเลยปลูกตึกรุกล้ำเข้ามาเป็นที่ดินของโจทก์ เมื่อโจทก์มิได้อ้างถึงความไม่สุจริตของจำเลย จำเลยก็ไม่จำต้องให้การต่อสู้ถึงความไม่สุจริตได้ แต่ที่จำเลยให้การว่าที่ดินที่โจทก์หาจำเลยรุกล้ำปลูกตึกเป็นที่ดินของจำเลยนั้น ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวก็เป็นการแสดงว่าจำเลยได้ทำการปลูกสร้างตึกแถวโดยสุจริต และที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นนำสืบไว้ว่า "จำเลยปลูกสร้างตึกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์หรือไม่ จะต้องรื้อส่วนที่รุกล้ำหรือไม่" นั้น ก็มีข้อเท็จจริงอยู่ในตัวของประเด็นที่ตั้งไว้นั้นที่จะต้องพิจารณาถึงด้วยว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกสร้างตึกรุกล้ำเข้าไปนั้นเป็นที่ดินของโจทก์แล้ว จำเลยจะต้องรื้อส่วนที่รุกล้ำหรือไม่ และการจะให้จำเลยรื้อตึกแถวนั้นหรือไม่ก็ต้องอาศัยข้อเท็จจริงถึงความสุจริตของจำเลยว่าจำเลยได้สร้างตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริตหรือไม่ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยได้สร้างรุกล้ำเข้าไปโดยสุจริตก็จำต้องยก มาตรา 1312 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาพิจารณาปรับบทให้ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ยกเหตุจำเลยปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต จึงมิใช่เป็นเรื่องนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1779/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ต้องจดทะเบียน มิอาจอ้างต่อสู้ผู้รับจำนองสุจริต
จำเลยยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ผู้ร้องโดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะได้ความตามคำร้องว่าผู้ร้องได้เข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนา เป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่ผู้ร้องหาได้จดทะเบียนการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวไม่ โจทก์รับจำนองและมีการจดทะเบียนจำนองถูกต้องตามกฎหมายย่อมได้รับการสันนิษฐานว่ากระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องไม่อาจยกเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ดังกล่าวขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องต่อไปอีก
ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้รับรองหรือมีข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้สิทธิ์มาโดยสุจริตแม้จะมีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายผู้ร้องก็สืบคัดค้านได้นั้น ประเด็นข้อนี้ผู้ร้องหาได้ยกขึ้นกล่าวในชั้นอุทธรณ์ไม่ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1779/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์และการคุ้มครองสิทธิผู้รับจำนองโดยสุจริต
จำเลยยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ผู้ร้องโดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะได้ความตามคำร้องว่าผู้ร้องได้เข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่ผู้ร้องหาได้จดทะเบียนการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวไม่โจทก์รับจำนองและมีการจดทะเบียนจำนองถูกต้องตามกฎหมายย่อมได้รับการสันนิษฐานว่ากระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องไม่อาจยกเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ดังกล่าวขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องต่อไปอีก
ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้รับรองหรือมีข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้สิทธิมาโดยสุจริตแม้จะมีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายผู้ร้องก็สืบคัดค้านได้นั้น ประเด็นข้อนี้ผู้ร้องหาได้ยกขึ้นกล่าวในชั้นอุทธรณ์ไม่ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดครองป่าสงวนแห่งชาติ แม้มีหนังสืออนุญาตจากนายกฯ แต่ทราบหลังเกิดเหตุ จึงไม่อาจอ้างความสุจริตได้
จำเลยร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติ และอ้างว่ามีหนังสือของนายกรัฐมนตรีที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเรื่องราษฎรเข้าทำกินในที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากการกระทำผิด เมื่อจำเลยทราบข้อความตามหนังสือของนายกรัฐมนตรีหลังที่เกิดเหตุคดีนี้แล้ว จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจตามหนังสือฉบับนั้นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด การที่หนังสือดังกล่าวไม่ให้เอาผิดราษฎรที่เข้าทำไร่นาในป่าสงวนอยู่ก่อนแล้ว และถ้าถูกเจ้าหน้าที่จับกุมคุมขังไว้ก็ให้ปล่อยตัวไปนั้น เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยฎีกาว่า ถ้าศาลฎีกาจะลงโทษจำเลยก็ขอให้รอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1442/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งมอบรถยนต์ที่ถูกลักขโมยโดยเชื่อโดยสุจริต และความรับผิดชอบในความเสียหายหลังทราบว่าเป็นของผู้อื่น
รถยนต์ยี่ห้อดัทสันกะบะขนาด1300ซีซี ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างก็ถูกคนร้ายลักไป โจทก์แจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลยานนาวา จำเลยที่ 1 แจ้งความไว้กับจำเลยที่ 2 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจท่าเรือกรุงเทพซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลจับคนร้ายลักรถยนต์ได้ได้รถยนต์ของกลางซึ่งตัวถังเป็นของโจทก์แต่ถูกพ่นสีเปลี่ยนไปจากสีเดิม สารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบุบผารามพิจารณาแล้วเชื่อว่าเป็นรถคันที่หายที่ได้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจท่าเรือกรุงเทพ จึงมอบรถให้จำเลยที่ 2 ไปดำเนินคดี จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ทราบมาก่อนว่าโจทก์โต้แย้งกรรมสิทธิ์เกี่ยวกับตัวถังรถยนต์ของกลาง เชื่อโดยสุจริตว่ารถยนต์ของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 จึงมอบรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 รับไปรักษาซึ่งเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 มอบรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 ไปดังกล่าว จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 1 ไม่ทราบมาก่อนว่าโจทก์โต้แย้งกรรมสิทธิ์เกี่ยวกับตัวถังรถยนต์ของกลาง ขณะรับรถยนต์ของกลางไว้เชื่อโดยสุจริตใจว่ารถยนต์ของกลางทั้งคันเป็นของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 รับรถยนต์ของกลางไว้และซ่อมใช้รถนี้โดยปกติธุระจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์เช่นเดียวกัน แต่ต่อมาเมื่อคดีอาญาถึงที่สุดศาลพิพากษาว่าตัวถังรถยนต์ของกลางเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ฟ้องเรียกตัวถังคืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องของโจทก์ตามกฎหมายแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบแล้วว่าตัวถังรถยนต์ของกลางเป็นของโจทก์ซึ่งจะต้องคืนให้โจทก์ แต่จำเลยยังไม่คืนให้โจทก์ยังคงใช้ตัวถังรถยนต์ของโจทก์อยู่ตลอดมา จำเลยที่ 1 จึงตกอยู่ในฐานะทุจริตตั้งแต่วันที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องตามกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดฐานละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป
จำเลยที่ 1 ควรรับผิดในความเสื่อมสภาพของตัวถังและค่าเสียหายในการที่โจทก์ไม่ได้ใช้ตัวถังรถพิพาทเพียงใดนั้น ควรคำนึงพฤติการณ์แห่งความเป็นจริงของตัวทรัพย์นั้นด้วยว่า เจ้าของทรัพย์นั้นพอจะบรรเทาความเสียหายที่ไม่ได้ใช้ทรัพย์นั้นโดยหาตัวทรัพย์เช่นนั้นมาชดใช้แทนความเสียหายอันพึงเกิดขึ้นนั้นได้หรือไม่เพียงไร เป็นเหตุผลประกอบด้วย คดีนี้โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ไม่สามารถจะหาซื้อตัวถังรถยนต์อื่นมาใช้แทนเพื่อประกอบกับเครื่องยนต์ของโจทก์ที่ถูกลักไปและได้รับคืนมา เพื่อโจทก์จะมีรถยนต์ไว้ใช้ต่อไป การจะกำหนดให้จำเลยที่ 1 รับผิดใช้ค่าเสียหาย ค่าเสื่อมราคาต่อโจทก์เกินกว่าราคาตัวถังรถพิพาทตามที่โจทก์เรียกร้องมานั้นเป็นการขัดต่อเหตุผลและความเป็นธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 938/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งข้อมูลความเสียหายจากกลุ่มบุคคลของสมาคมธนาคารไทย ไม่เป็นหมิ่นประมาท หากทำโดยสุจริตเพื่อป้องกันความเสียหาย
จำเลยที่ 2 ในฐานะเลขาธิการ ได้แจ้งข่าวการประชุมของสมาคมธนาคารไทย จำเลยที่ 1 ตามมติของที่ประชุม โดยทำเป็นหนังสือเวียนลับเฉพาะถึงสมาชิก แจ้งให้ทราบถึงพฤติการณ์ของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ไปขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตจากธนาคารสมาชิก แล้วไม่มาติดต่อขอรับราชการไปรับของ ทำให้ธนาคารสมาชิกได้รับความเสียหาย โดยในหนังสือเวียนได้ระบุชื่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวซึ่งมีชื่อโจทก์รวมอยู่ด้วย เพื่อมิให้ธนาคารสมาชิกได้รับความเสียหายดังที่มีมาอีก เช่นนี้ ถือได้ว่าการแจ้งข่าวดังกล่าวเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 329

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 846/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารไม่ต้องรับผิดเมื่อเปิดบัญชีให้ผู้ปลอมเอกสาร หากตรวจสอบเอกสารตามปกติและเชื่อโดยสุจริต
ข้อที่ว่าบริษัทโจทก์จดทะเบียนโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว บุคคลทั้งหลายย่อมรู้นั้น จะผูกพันบุคคลทั่วไปเฉพาะนิติกรรมสัญญาเท่านั้น ไม่มีผลถึงเรื่องละเมิด
ผ. มิได้เป็นกรรมการบริษัทโจทก์ ได้ขอเปิดบัญชีเงินฝากในนามบริษัทโจทก์ไว้กับธนาคารจำเลย แล้วนำเช็คที่ลูกค้าออกชำระหนี้ให้แก่โจทก์เข้าบัญชีเงินฝากนั้น และออกเช็คเบิกเงินโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ดังนี้ เมื่อได้ความว่า การที่ ผ. ขอเปิดบัญชีเงินฝากในนามบริษัทโจทก์ ได้มีเอกสารมาครบถ้วนตามระเบียบที่ธนาคารจำเลยวางไว้ ทั้งเอกสารระบุว่า ผ. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทโจทก์ได้ และพนักงานของธนาคารจำเลยตรวจพิจารณาเอกสารเหล่านั้นด้วยความระมัดระวังตามปกติธรรมดาที่เคยปฏิบัติมาของธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องการความรวดเร็วเพื่อให้ความสะดวกแก่ลูกค้าแล้ว เชื่อโดยสุจริตว่า ผ. เป็นกรรมการของบริษัทโจทก์จริง จึงรับเปิดบัญชีเงินฝากให้ ผ. และไม่ได้สอบถามบริษัทโจทก์หรือกองทะเบียนกระทรวงพาณิชย์อีก แต่ต่อมาปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ ผ. กับพวกร่วมกันปลอมขึ้น ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่ออันจะเป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2499/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความเช็ค: การยินยอมโดยปริยายและการลงวันที่โดยสุจริต
จำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์ก่อนฟ้องคดี 3 ปี แต่ตามฟ้องและคำให้การไม่มีข้อเท็จจริงว่าเหตุใดจำเลยผู้ออกเช็คจึงไม่ลงวันที่ขณะออกเช็ค ฉะนั้น จึงถือเป็นปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่ในเช็คเอาเองภายหลังเมื่อจะเบิกเงิน และตามข้อตกลงที่รับกันในชั้นพิจารณาย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ลงวันที่โดยสุจริต ดังนั้นอายุความต้องนับตั้งแต่วันที่ระบุในเช็ค ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2499/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความเช็ค: การยินยอมโดยปริยายและการลงวันที่โดยสุจริต
จำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์ก่อนฟ้องคดี 3 ปี แต่ตามฟ้องและคำให้การไม่มีข้อเท็จจริงว่าเหตุใดจำเลยผู้ออกเช็คจึงไม่ลงวันที่ขณะออกเช็คฉะนั้นจึงถือเป็นปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่ในเช็คเอาเองภายหลังเมื่อเบิกเงิน และตามข้อตกลงที่รับกันในชั้นพิจารณาย่อมถือได้ว่าโจทก์ ได้ลงวันที่ โดยสุจริต ดังนั้นอายุความต้องนับตั้งแต่วันที่ระบุในเช็ค ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2458/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนขายอสังหาริมทรัพย์ไม่เป็นหนังสือและจดทะเบียน ทำให้การโอนเป็นโมฆะ แม้ผู้ซื้อจะสุจริตและเสียค่าตอบแทน
การโอนขายห้องพิพาทโดยผู้รับโอนจะใช้เป็นที่ค้าขาย มิใช่เพื่อรื้อเอาไป ห้องพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อการโอนขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456
of 117