พบผลลัพธ์ทั้งหมด 886 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุสถานที่เกิดเหตุในคำฟ้องอาญา เพียงกล่าวพอสมควรให้จำเลยเข้าใจได้ ถือเพียงพอแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คำว่า สถานที่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) นั้น หมายถึงสถานที่ที่เกิดกระทำผิด หาได้กำหนดไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะต้องระบุว่าอยู่หมู่ใดตำบลใด เสมอไปไม่ เพียงแต่กล่าวไว้พอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้ว คดีนี้ราษฎรเป็นโจทก์ ในคำฟ้องระบุว่าโจทก์จำเลยต่างอยู่บ้านใกล้เคียงบ้านหนองแก ตำบลยางหล่อ อำเภอหนองบัวลำภูจังหวัดอุดรธานี เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้บังอาจเข้าไปในบ้านโจทก์ แม้จะไม่ลงว่าบ้านโจทก์ตั้งอยู่ที่ตำบล อำเภอ และจังหวัดใดก็ดีจำเลยก็ย่อมเข้าใจข้อหาได้ดีว่า การกระทำผิดเกิด ณ สถานที่ใด เพราะโจทก์จำเลยเป็นคนอยู่ในละแวกหมู่บ้านเดียวกันถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 12/2509)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 12/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องขับไล่ต้องอ้างอิงสิทธิในที่ดิน การวินิจฉัยเกินคำฟ้องเป็นเหตุให้คำพิพากษาเป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินราชพัสดุแปลงหนึ่ง จำเลยปลูกบ้านเรือนอยู่ในที่ดินแปลงนี้บางส่วน โดยเช่าจากผู้แทนโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านไม่ใช่ของโจทก์ อยู่นอกเขตที่ดินราชพัสดุของโจทก์ จำเลยไม่ได้เช่าจากโจทก์ ประเด็นที่จะต้องพิจารณา คือ ที่พิพาทเป็นที่ดินของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลวินิจฉัยว่า ถึงแม้เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่านอกเขตที่ดินราชพัสดุ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง เพราะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของแผ่นดิน จึงเป็นการพิพากษาคดีเกินหรือนอกไปจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
แม้จำเลยจะไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาท ผู้ที่จะฟ้องขับไล่ได้ก็ต้องมีสิทธิหรือมีอำนาจหน้าที่ในที่ดินนั้น และถูกโต้แย้งสิทธิ.
แม้จำเลยจะไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาท ผู้ที่จะฟ้องขับไล่ได้ก็ต้องมีสิทธิหรือมีอำนาจหน้าที่ในที่ดินนั้น และถูกโต้แย้งสิทธิ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องขับไล่ต้องอาศัยสิทธิในที่ดิน การวินิจฉัยเกินคำฟ้องเป็นเหตุให้ศาลต้องยกคำพิพากษา
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินราชพัสดุแปลงหนึ่งจำเลยปลูกบ้านเรือนอยู่ในที่ดินแปลงนี้บางส่วน โดยเช่าจากผู้แทนโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านไม่ใช่ของโจทก์ อยู่นอกเขตที่ดินราชพัสดุของโจทก์จำเลยไม่ได้เช่าจากโจทก์ประเด็นที่จะต้องพิจารณา คือ ที่พิพาทเป็นที่ดินของโจทก์หรือไม่การที่ศาลวินิจฉัยว่า ถึงแม้เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่านอกเขตที่ดินราชพัสดุ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง เพราะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโจทก์มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของแผ่นดินจึงเป็นการพิพากษาคดีเกินหรือนอกไปจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
แม้จำเลยจะไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาท ผู้ที่จะฟ้องขับไล่ได้ก็ต้องมีสิทธิหรือมีอำนาจหน้าที่ในที่ดินนั้นและถูกโต้แย้งสิทธิ
แม้จำเลยจะไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาท ผู้ที่จะฟ้องขับไล่ได้ก็ต้องมีสิทธิหรือมีอำนาจหน้าที่ในที่ดินนั้นและถูกโต้แย้งสิทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 645/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักลอบนำทรัพย์สินเข้าเรือนจำ: คำฟ้องไม่จำเป็นต้องระบุการฝ่าฝืนระเบียบเฉพาะเจาะจง หากกิริยา 'ลักลอบ' ครอบคลุมความผิดทั้งทางกฎหมายและระเบียบ
ผู้ว่าคดีฟ้องด้วยวาจาว่า " เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2506 เวลากลางวัน จำเลยได้ลักลอบนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำและมีไว้ในครอบครอง 580 บาท ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 37, 39, 45 วรรค 3 และริบของกลาง ฯลฯ" โดยไม่ได้แจ้งข้อความต่อศาลว่า "เป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ" ด้วยนั้น ก็เป็นฟ้องที่ครบบริบูรร์แล้ว เพราะกิริยา "ลักลอบ" หมายถึงการนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ อันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดได้ทั้ง 2 กรณี
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 29/2507)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 29/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 645/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของคำฟ้องกรณีลักลอบนำสิ่งของเข้าเรือนจำ ศาลตีความ 'ลักลอบ' ครอบคลุมทั้งความผิดตามกฎหมายและระเบียบ
ผู้ว่าคดีฟ้องด้วยวาจาว่า 'เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2506 เวลากลางวันจำเลยได้ลักลอบนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำและมีไว้ในครอบครอง580 บาท ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 37,39,45 วรรคสาม และริบของกลางฯลฯ' โดยไม่ได้แจ้งข้อความต่อศาลว่า 'เป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ' ด้วยนั้น ก็เป็นฟ้องที่ครบบริบูรณ์แล้ว เพราะกิริยา'ลักลอบ' หมายถึงการนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดได้ทั้ง 2 กรณี (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 29/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดตามฟ้อง การพิพากษาต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำฟ้อง หากข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน ศาลต้องยกฟ้อง
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า "จำเลยทั้ง 17 คนนี้ได้กระทความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ จำเลยทุกคนได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันเล่นการพนันซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการพนันถั่ว" และในตอนต่อไปในฟ้องข้อเดียวกันกล่าวว่า "โดยจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน จำเลยที่ 2 เป็ฯเจ้ามือรับถินรับใช้ จำเลยอื่นๆเป็นผู้เล่น" นั้น เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้จัดให้มีการเล่น หาใช่ในฐานะเป็นผู้เล่นด้วยไม่
ถ้าทางพิจารณาปรากฎว่าจำเลยมิได้เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามฟ้อง แต่เป็นเพียงผู้เล่นเท่านั้น ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญ อันเป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้.
ถ้าทางพิจารณาปรากฎว่าจำเลยมิได้เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามฟ้อง แต่เป็นเพียงผู้เล่นเท่านั้น ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญ อันเป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294-295/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๕ จำเป็นต้องระบุฐานะลูกจ้างในคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์รับส่งบรรทุกของและคนโดยสารในนามของบริษัทจำเลยที่ 3 เพื่อการค้ากำไรร่วมกันนั้น เป็นคำฟ้องที่ไม่มีทางให้เข้าใจว่าจำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ได้เลย แม้ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามที่คู่ความนำสืบจะปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ก็ตาม ก็เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็น จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294-295/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้าง: คำฟ้องต้องระบุฐานะนายจ้างชัดเจน การรับฟังข้อเท็จจริงนอกฟ้องเป็นไปตามหลักวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์รับส่งบรรทุกของและคนโดยสารในนามของบริษัทจำเลยที่ 3 เพื่อการค้ากำไรร่วมกันนั้น เป็นคำฟ้องที่ไม่มีทางให้เข้าใจว่าจำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ได้เลย แม้ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามที่คู่ความนำสืบจะปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ก็ตาม ก็เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็นจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1464/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดิน: การเพิกถอน ส.ค.1 เมื่อมีการโต้แย้งสิทธิครอบครอง และการเริ่มคดีโดยคำฟ้อง
การร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนชื่อบุคคลผู้ไม่มีสิทธิออกจากแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)นั้น เห็นได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างผู้ร้องกับผู้มีชื่อในแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ว่าใครมีสิทธิเหนือที่ดินดีกว่ากัน เป็นคดีมีข้อพิพาทแล้ว จึงต้องเริ่มคดีโดยทำเป็นคำฟ้องต่อศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนสิทธิเครื่องหมายการค้าต้องทำเป็นคำฟ้อง ไม่ใช่คำร้อง เนื่องจากเป็นการโต้แย้งสิทธิในทางแพ่ง
การขอให้ศาลจำกัดและเพิกถอนสิทธิการจดทะเบียนสินค้าของผู้อื่นซึ่งตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าว่าให้ยื่นคำร้อง นั้นเป็นการขอให้ศาลสั่งซึ่งจะเป็นการกระทบกระเทือนสิทธิของคนอื่นที่มีอยู่ก่อนแล้ว อันเป็นการตั้งข้อพิพาทว่า ผู้ร้องมีสิทธิดีกว่า เป็นการโต้แย้งสิทธิกันในทางแพ่ง จึงต้องเริ่มคดีโดยทำเป็นคำฟ้องมายื่นไม่ใช่คำร้องขอ
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2503
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2503