คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าเสียหาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,822 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7291/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียน, การลอกเลียนแบบ, การลวงสาธารณชน, และอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย
เมื่อโจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้ธ. เป็นผู้รับมอบอำนาจโดยให้มีอำนาจยื่นฟ้องเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ธ.จึงย่อมมีอำนาจตั้งทนายความยื่นฟ้องคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา60วรรคสอง เมื่อโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานและมีธ. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์มาเบิกความประกอบพยานเอกสารนั้นแม้ไม่มีพยานที่รู้เห็นการทำเอกสารดังกล่าวมาเบิกความแต่เอกสารดังกล่าวก็เข้าสู่สำนวนโดยชอบพยานเอกสารดังกล่าวจึงรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ว่าโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศและมีการผลิตสินค้าตามเครื่องหมายการค้าคำว่าNIKKOHORNกับรูปรอยประดิษฐ์ตามฟ้องออกจำหน่าย เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยมีตัวอักษรโรมันทั้งหมด2คำโดยคำหลังคือHORNมีตัวอักษรเหมือนกันทั้งสี่ตัวส่วนคำหน้าคงแตกต่างกันแต่เพียงคำว่าNIKKOของโจทก์มีตัวอักษรKอยู่2ตัวส่วนคำว่าNIKOของจำเลยมีอักษรKเพียง1ตัวอักษรโรมันดังกล่าวของโจทก์และของจำเลยก็อ่านออกเสียงคล้ายคลึงกันโดยของโจทก์อ่านออกเสียว่านิกโกฮอน ส่วนของจำเลยอ่านออกเสียว่านิโก้ฮอน รูปรอยประดิษฐ์ของเครื่องหมายการค้าของโจทก์และจำเลยนั้นต่างเป็นสีขาวอยู่กลางพื้นสีดำโดยมีอักษรโรมันว่าNIKKONIKOตามลำดับกำกับอยู่ด้านล่างของรูปรอยประดิษฐ์ซึ่งเขียนด้วยลายเส้นเป็นรอยหยักขนาดใกล้เคียงกันคงต่างกันแต่เฉพาะทิศทางของลายเส้นเท่านั้นเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่าNIKOHORNและรูปNประดิษฐ์ของโจทก์สำหรับเครื่องหมายการค้าของจำเลยอีกเครื่องหมายหนึ่งแม้จะมีตัวอักษรโรมันคำว่าMighty-mateVFD-150อยู่ด้วยก็ตามแต่จุดเด่นของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวก็อยู่ที่คำว่าNIKOและรูปรอยประดิษฐ์ซึ่งคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังนี้เมื่อโจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่าNIKKOHORNและรูปรอยประดิษฐ์ดังกล่าวมาก่อนจำเลยแม้จำเลยได้นำเครื่องหมายการค้าของจำเลยไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าก่อนโจทก์ก็ยังคงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่าNIKKOHORNและรูปรอยประดิษฐ์นั้นและในเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลย แม้รูปรอยประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยกับตัวอักษรโรมันบนกล่องบรรจุสินค้าแตรของจำเลยและตัวอักษรโรมันบนกล่องบรรจุสินค้าแตรของโจทก์แตกต่างกันอยู่บ้างโดยตัวอักษรโรมันบนกล่องบรรจุสินค้าแตรของจำเลยมีคำว่าNIKOMightymateVFD-150ส่วนตัวอักษรโรมันบนกล่องบรรจุสินค้าแตรของโจทก์เป็นตัวอักษรโรมันคำว่าNIKOPower-mateSFD-100แต่ความแตกต่างดังกล่าวก็มีเพียงเล็กน้อยซึ่งสำหรับผู้ที่อ่านอักษรโรมันไม่ได้หากได้เห็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยในขณะเดียวกันก็ยากที่จะกล่าวได้ว่ามีอะไรแตกต่างกันบ้างและแม้ผู้ที่อ่านอักษรโรมันได้หากไม่พิจารณาให้รอบคอบหรือได้เป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยต่างเวลากันก็น่าจะไม่สามารถสังเกตเห็นข้อแตกต่างของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวการที่เครื่องหมายการค้าที่กล่องบรรจุสินค้าแตรของจำเลยมีลักษณะคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่กล่องบรรจุสินค้าแตรของโจทก์โดยสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าประเภทเดียวกับสินค้าของโจทก์เช่นนี้นับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยคืนสินค้าของโจทก์และเป็นการที่จำเลยได้ลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าของจำเลย โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยได้นำเครื่องหมายการค้าคำว่าNIKOHORNและรูปรอยประดิษฐ์ที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไปยื่นขอจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าของจำเลยอันเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเป็นการละเมิดต่อโจทก์เพื่อประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหลงผิดในเครื่องหมายการค้าโดยเข้าใจว่าสินค้าของจำเลยภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่าNIKOHORNและรูปรอยประดิษฐ์เป็นสินค้าของโจทก์หรือโจทก์ร่วมในการผลิตและจำหน่ายทำให้สาธารณชนเสื่อมความนิยมในเครื่องหมายการค้าและสินค้าของโจทก์มีผลทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการจำหน่ายสินค้าของโจทก์โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเดือนละ50,000บาทดังนี้โจทก์หาได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ทำการลวงขายสินค้าของจำเลยว่าเป็นสินค้าของโจทก์แต่อย่างใดไม่คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยลวงขายสินค้าของจำเลยว่าเป็นสินค้าของโจทก์หรือไม่แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้ก็เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่อาจวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้ได้ เมื่อปรากฏว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในการล่วงสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้รับจดทะเบียนนั้นตามมาตรา29วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์อ้างว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิและเมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าจำเลยได้เอาสินค้าของจำเลยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของโจทก์โจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในฐานลวงขายตามมาตรา29วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติเดียวกันได้และไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวทั้งนี้เพราะสิทธินั้นเป็นสิทธิแต่ผู้เดียวของบุคคลผู้ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา27แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7262/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำจากสัญญาเช่าซื้อ: คดีก่อนถึงที่สุดแล้ว ฟ้องคดีใหม่ขอค่าเสียหายส่วนที่เหลือถือเป็นการฟ้องซ้ำ
คดีนี้กับคดีก่อนคู่ความทั้งสองคดีเป็นคู่ความรายเดียวกันและเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันมีมูลมาจากการผิดสัญญาเช่าซื้อฉบับเดียวกัน โดยคดีก่อนโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าขาดประโยชน์และส่งมอบรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทน ส่วนคดีนี้โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายในส่วนที่ยังขาดอยู่หลังจากการประมูลขายรถยนต์ที่ยึดคืนมาได้กับค่าใช้จ่ายในการประมูลขายรถยนต์ซึ่งโจทก์สามารถประเมินความเสียหายได้ตั้งแต่ขณะยึดรถยนต์คืนจากจำเลยที่ 1 และชอบที่จะขอแก้ไขคำฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้เพิ่มเข้ามาในคดีก่อน ดังนั้นทั้งสองคดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่ และจะต้องรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์เพียงใด เมื่อคดีก่อนถึงที่สุดไปแล้ว ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7262/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: คดีผิดสัญญาเช่าซื้อเดิมถึงที่สุดแล้ว การเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมจากการประมูลรถยนต์ถือเป็นฟ้องซ้ำ
คดีนี้กับคดีก่อนคู่ความทั้งสองคดีเป็นคู่ความรายเดียวกันและเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันมีมูลมาจากการผิดสัญญาเช่าซื้อฉบับเดียวกันโดยคดีก่อนโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าขาดประโยชน์และส่งมอบรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนส่วนคดีนี้โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายในส่วนที่ยังขาดอยู่หลังจากการประมูลขายรถยนต์ที่ยึดคืนมาได้กับค่าใช้จ่ายในการประมูลขายรถยนต์ซึ่งโจทก์สามารถประเมินความเสียหายได้ตั้งแต่ขณะยึดรถยนต์คืนจากจำเลยที่1และชอบที่จะขอแก้ไขคำฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้เพิ่มเข้ามาในคดีก่อนดังนั้นทั้งสองคดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่และจะต้องรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์เพียงใดเมื่อคดีก่อนถึงที่สุดไปแล้วฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7227/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขาดประโยชน์จากรถราชการเสียหาย: จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์จนกว่าจะมีการชดใช้
จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของโจทก์จนเพลิงลุกไหม้เสียหายหมดทั้งคัน รถโจทก์เป็นรถที่ใช้ในราชการประจำอยู่โรงพยาบาล หลังจากจำเลยก่อเหตุละเมิดแล้วไม่ยอมใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการมิได้ใช้รถซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการละเมิด ดังนั้นนอกจากจำเลยจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายของรถยนต์และอุปกรณ์การแพทย์ให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยยังต้องรับผิดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์มิได้ใช้รถยนต์อันเป็นผลโดยตรงจากการละเมิดในระหว่างที่จำเลยไม่ยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 706/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ค่าเสียหาย: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาเมื่อโจทก์ขอท้ายอุทธรณ์ให้ปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากลูกจ้างจำเลยกระทำละเมิดในทางการที่จ้างเป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์การที่โจทก์กล่าวไว้ท้ายอุทธรณ์ว่าขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองปฎิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7042/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยไม่ได้เป็นผู้ขนส่งร่วม การมอบอำนาจและการวินิจฉัยศาลอุทธรณ์มีผลต่อการรับผิดชอบค่าเสียหาย
สำหรับเรื่องการมอบอำนาจแม้จำเลยที่1จะให้การสู้คดีไว้แต่ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่1ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ส่วนในเรื่องใบรับรองกรมธรรม์เปิดทางทะเลศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้วแต่ฎีกาของจำเลยดังกล่าวหาได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไรไม่จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งฎีกาจำเลยที่1ทั้งสองประเด็นดังกล่าวไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ใบตราส่งเป็นแบบ ฟลูไลเนอร์เทอม ซึ่งหมายความว่าหน้าที่ในการขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่ลงสู่เรือ ฉลอมเป็นหน้าที่ของเจ้าของเรือใหญ่ซึ่งเป็นผู้ขนส่งสินค้าในการควบคุมการขนส่งสินค้าจากท่าเรือ เกาะสีชังมายังท่าเรือกรุงเทพพนักงานของเรือใหญ่เป็นผู้ควบคุมมาเองจำเลยที่1ไม่ได้เข้าร่วมทำการขนส่งสินค้ารายนี้กับจำเลยที่2ซึ่งได้ทำการขนส่งมาโดยเรือใหญ่และไม่ได้มีส่วนเข้าร่วมในการขนถ่ายสินค้าด้วยส่วนการแจ้งกำหนดเวลาที่เรือมาถึงให้ผู้ซื้อสินค้าส่งมาทราบการติดต่อเพื่อขอนำเรือเข้าเทียบท่าและให้ไปตรวจสินค้ารวมทั้งแจ้งต่อกองตรวจคนเข้าเมืองนั้นกิจการเหล่านี้เป็นกิจการที่จำเลยที่2ผู้ขนส่งและเจ้าของเรือใหญ่จะต้องกระทำด้วยตนเองการที่จำเลยที่1ได้กระทำกิจการเหล่านั้นแทนผู้ขนส่งและเจ้าของเรือยังไม่พอถือว่าจำเลยที่1เป็นผู้เข้าร่วมขนส่งกับจำเลยที่2และเรือใหญ่ด้วยจำเลยที่1จึงไม่ต้องรับผิดสำหรับความเสียหายของสินค้าที่ขนส่ง คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยที่1ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คือ283,734.40บาทซึ่งจำเลยที่1ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง7,092.50บาทแต่ศาลชั้นต้นคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาโดยรวมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยที่1ยื่นฎีกาเข้าเป็นทุนทรัพย์จำนวน359,497.31บาทด้วยและให้จำเลยที่1เสียค่าขึ้นศาลฎีกาเป็นเงิน8,987.50บาทจำเลยที่1จึงเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเกินมาจำนวน1,895บาทศาลฎีกาชอบที่จะสั่งให้คืนเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ชำระเกินมาแก่จำเลยที่1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7034/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสัญญาประกันภัยค้ำจุน และผลของการยอมรับสภาพหนี้โดยตัวแทน
โจทก์ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยได้ชำระค่าเสียหายแก่บุคคลผู้ต้องเสียหายแล้วฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา887เป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาประกันภัยจึงต้องอยู่ภายใต้อายุความ2ปีนับแต่วันวินาศภัยตามมาตรา882วรรคแรก พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยได้ตรวจความเสียหายและได้เรียกเก็บเงินค่าแจ้งเหตุจากโจทก์กับออกเอกสารให้โจทก์ถือไว้เป็นหลักฐานทั้งยังได้นำรถคันดังกล่าวไปตีราคาค่าซ่อมอีกด้วยพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการทำการอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา172เดิม(มาตรา193/14(1)ที่แก้ไขใหม่) เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้วระยะเวลาที่ได้ล่วงไปก่อนนั้นย่อมไม่นับเข้าในอายุความจนเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นได้สิ้นสุดซึ่งในกรณีนี้ได้แก่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือปฏิเสธความรับผิดจากจำเลยซึ่งถือเป็นวันที่เป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสิ้นสุดลงจึงเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่เวลานั้นสืบไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา181เดิม(มาตรา193/15ที่แก้ไขใหม่) ส่วนประเด็นข้อพิพาทอื่นๆที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยมาแม้คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงมาเสร็จสิ้นเป็นการเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียเองได้ก็ตามแต่เมื่อฎีกาของโจทก์มิได้กล่าวถึงประเด็นพิพาทอื่นมาด้วยเช่นนี้ศาลฎีกาจึงไม่อาจที่จะวินิจฉัยไปเสียทีเดียวได้ต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาปัญหาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6896/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดร่วมจากอุบัติเหตุรถแข่ง: ลูกหนี้ร่วม, ประนีประนอม, ค่าเสียหาย
การที่รถยนต์โดยสารทั้งสองคันวิ่งแข่งกันมาและต่างชนโจทก์นั้นแม้จะเป็นกรณีต่างคนต่างประมาทเลินเล่อก็ตาม แต่ความประมาทเลินเล่อของคนขับรถทั้งสองไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นต่อโจทก์ คนขับรถทั้งสองจึงต้องร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โดยคนขับรถทั้งสองหรือคนใดคนหนึ่งต้องรับผิดต่อโจทก์เต็มจำนวน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารทั้งสองคันที่ก่อเหตุร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันในรถยนต์โดยสารทั้งสองคันดังกล่าวต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ในฐานะลูกหนี้ร่วมในจำนวนค่าเสียหายเป็นเงิน 730,000 บาท แต่เนื่องจากโจทก์ จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นเงิน 60,000 บาทส่วนค่าเสียหายที่เหลือโจทก์ยังติดใจเรียกร้องจากจำเลยอื่นอีก สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงมีเพียง 60,000 บาทคงเหลือส่วนที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์จำนวนเงิน 670,000 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6853/2538 เวอร์ชัน 6 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสัญญาจ้างย่อยและขนส่งหินคลุก เริ่มนับแต่จำเลยผิดนัด
โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยให้ทำการย่อยและขนส่งหินคลุกกองรายทางใช้สำหรับราดยางในทางหลวง ตามสัญญาดังกล่าวกำหนดให้จำเลยส่งมอบงานงวดที่ 1 ให้เสร็จภายในวันที่ 3 ตุลาคม 2522 และส่งมอบงานงวดที่ 2 ให้เสร็จภายในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2522 เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้มาตั้งแต่ครบกำหนดส่งมอบงานงวดที่ 1 คือ วันที่ 3 ตุลาคม 2522 จำเลยจึงผิดนัดตั้งแต่วันดังกล่าวโจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและบังคับตามสิทธิเรียกร้องแก่จำเลยได้นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดดังกล่าว ดังนั้น อายุความจึงต้องเริ่มนับแต่ขณะที่โจทก์อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 169 เดิม (มาตรา 193/12 ที่แก้ไขใหม่) โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2532 จึงเกินกำหนด 10 ปีคดีโจทก์ย่อมขาดอายุความตามมาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่)จำเลยจึงมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้ตามมาตรา 188 เดิม(มาตรา 193/10 ที่แก้ไขใหม่)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6853/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาจ้างทำของ เริ่มนับแต่วันจำเลยผิดนัดชำระหนี้
สิทธิเรียกร้องในเงินค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างทำของในข้อที่ไม่ชำระหนี้เลยเป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ้างผู้อื่นมาทำการงานแทนนั้นจำเลยได้ชื่อว่าตกเป็นผู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้มาตั้งแต่เมื่อครบกำหนดส่งมอบงานงวดที่1วันครบกำหนดส่งมอบงานงวดที่1ตามสัญญาข้อ4คือวันที่3ตุลาคม2522ดังนั้นจำเลยจึงผิดนัดตั้งแต่วันที่4ตุลาคม2522โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและบังคับตามสิทธิเรียกร้องกับจำเลยได้นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดดังกล่าวอายุความจึงต้องเริ่มนับแต่ขณะที่โจทก์อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา163เดิม(มาตรา193/12ที่แก้ไขใหม่)โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่27ตุลาคม2532นับจากวันที่4ตุลาคม2522ถึงวันฟ้องเกินกำหนด10ปีคดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิม(มาตรา193/30ที่แก้ไขไหม่)จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา188เดิม(มาตรา193/10ที่แก้ไขใหม่)
of 283