พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,595 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์จ้างงานอิสระไม่เข้าข่ายลักทรัพย์นายจ้าง
แม้จำเลยจะพักนอนบนเรือนของผู้เสียหายระหว่างที่รับจ้างขุดมันสำปะหลังให้แก่ผู้เสียหายก็ตาม แต่ค่าจ้างที่ผู้เสียหายตกลงจ่ายให้แก่จำเลยคิดตามน้ำหนักมันสำปะหลังที่จำเลยขุดได้ ซึ่งจะได้มากน้อยเท่าใดแล้วแต่ความสมัครใจและความสามารถของจำเลย ผู้เสียหายหาได้กำหนดกฎเกณฑ์สั่งการขุดให้จำเลยขุดให้ได้จำนวนมันสำปะหลังแน่นอนอย่างใดไม่ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยไม่ใช่อยู่ในฐานะนายจ้างและลูกจ้างกันเมื่อจำเลยลักเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์บุคคลธรรมดา หาใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ นายจ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(11) ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์สินหาย: การจับกระบือที่เพริดหาย ไม่ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร
กระบือของผู้เสียหายมิได้ถูกลัก แต่ติดสัดเพริดหายไป ผู้เสียหายติดตามอยู่เพียง 3 วัน แล้วมิได้ติดตามอีก ระยะเวลาหลังจากที่ผู้เสียหายมิได้ติดตามกระบือ จึงขาดการครอบครองในกระบือของตน และเป็นทรัพย์สินหายตลอดมา จำเลยจับกระบือได้หลังจากวันที่เพริดหายไปถึง 10 วัน และได้ไปแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบทันที ดังนี้ จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ รับของโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์สินหาย และความผิดฐานลักทรัพย์/รับของโจร กรณีสัตว์เลี้ยงหลุดหาย
กระบือของผู้เสียหายมิได้ถูกลัก แต่ติดสัดเพริดหายไปผู้เสียหายติดตามอยู่เพียง 3 วัน แล้วมิได้ติดตามอีกระยะเวลาหลังจากที่ผู้เสียหายมิได้ติดตามกระบือ จึงขาดการครอบครองในกระบือของตน และเป็นทรัพย์สินหายตลอดมาจำเลยจับกระบือได้หลังจากวันที่เพริดหายไปถึง 10 วัน และได้ไปแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบทันที ดังนี้ จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ รับของโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2707/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานลักทรัพย์ รับของโจร และปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์ ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรับของโจร มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 1 ปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เก็บเงินและได้ออกจากงานไปแล้วก่อนเกิดเหตุ ได้ไปเรียกเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์จากลูกค้าของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน และลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ลูกค้าของผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไป เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ลูกค้าและผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ์ เพราะใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ์ และเมื่อจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมดังกล่าวโดยมอบให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมด้วย
จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เก็บเงินและได้ออกจากงานไปแล้วก่อนเกิดเหตุ ได้ไปเรียกเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์จากลูกค้าของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน และลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ลูกค้าของผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไป เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ลูกค้าและผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ์ เพราะใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ์ และเมื่อจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมดังกล่าวโดยมอบให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2610/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบหมายให้ดูแลทรัพย์สินแล้วยักยอกทรัพย์ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์แทนลักทรัพย์
ผู้เสียหายได้มอบกระบือและรถจักรยาน 2 ล้อให้จำเลยเป็นผู้ควบคุมดูแลรักษาโดยเก็บรักษาไว้ที่นาเพื่อใช้ทำนาและไร่ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวผู้เสียหายได้มอบหมายให้จำเลยยึดถือครอบครองทรัพย์นั้นแทนผู้เสียหาย การยึดถือครอบครองทรัพย์จึงอยู่ที่จำเลย หาใช่ยังอยู่ที่ผู้เสียหายไม่ เมื่อจำเลยเอาทรัพย์นั้นไปให้แก่บุคคลอื่น จึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ หาใช่ลักทรัพย์ตามฟ้องไม่เมื่อกรณีเป็นเช่นนี้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงตามฟ้องในข้อสาระสำคัญซึ่งโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย จะลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2307/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าไปในเคหสถานโดยปริยายไม่ถือเป็นการบุกรุก และไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน
ผู้เสียหายกับจำเลยเช่าบ้านหลังเดียวกันแต่คนละห้อง มีบันไดขึ้นลงคนละทาง ทั้งสองฝ่ายชอบพอกัน ตามปกติจำเลยมาหาผู้เสียหายเสมอ เคยขึ้นไปห้องรับแขกผู้เสียหายไม่เคยห้ามปราม ถ้าผู้เสียหายไม่อยู่จำเลยก็มาคุยกับน้องสาวผู้เสียหาย วันเกิดเหตุผู้เสียหายไม่อยู่ จำเลยก็มาบ้านผู้เสียหาย เข้าไปในห้องรับแขก นอนบนเก้าอี้นวมอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วจำเลยลักนาฬิกาของผู้เสียหายที่วางไว้บนตู้โชว์ติดกับเก้าอี้นวมไป การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเป็นการได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้โดยปริยาย จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามมาตรา 335(8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2307/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ในเคหสถาน: การได้รับอนุญาตโดยปริยาย และขอบเขตการคุ้มครอง
ผู้เสียหายกับจำเลยเช่าบ้านหลังเดียวกัน แต่อยู่คนละห้อง วันเกิดเหตุผู้เสียหายไม่อยู่ จำเลยเข้าไปในห้องรับแขกนอนอ่านหนังสือพิมพ์บนเก้าอี้นวม น้องผู้เสียหายอยู่บ้านแต่ก็มิได้ห้ามปรามจำเลย จำเลยลักนาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายซึ่งวางอยู่บนตู้โชว์ติดกับเก้าอี้นวมไปดังนี้ การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นการได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้โดยปริยายการลักทรัพย์มิใช่ลักในเคหสถาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2160/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกระทำผิดลักทรัพย์: การไปกับคนร้ายและการวิ่งหนีถือเป็นหลักฐานแสดงเจตนา
การที่จำเลยไปกับคนร้ายที่ลงมือกระทำความผิดและเมื่อคนร้ายวิ่งหนีไป จำเลยก็วิ่งหนีไปด้วย ประกอบกับคำรับของจำเลยต่อหน้ากำนันในตอนจับกุมย่อมเป็นพฤติการณ์เพียงพอที่จะทำให้ฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากลักทรัพย์/รับของโจร เป็นยักยอกทรัพย์ เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ดูแลศาสนสมบัติของวัด
พระพุทธรูปซึ่งเป็นศาสนสมบัติของวัด จึงอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา 37(1) จำเลยที่ 1 เบียดบังเอาพระพุทธรูปเป็นของตนหรือของจำเลยที่ 2 โดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการเบียดบังเอาพระพุทธรูป มีความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานยักยอก จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วย ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และการยกฟ้องนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานยักยอก จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วย ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และการยกฟ้องนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากลักทรัพย์/รับของโจรเป็นยักยอก เนื่องจากผู้ดูแลรักษาคือเจ้าอาวาส และการกระทำเข้าข่ายยักยอกทรัพย์
พระพุทธรูปซึ่งเป็นศาสนสมบัติของวัด จึงอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา 37(1) จำเลยที่ 1 เบียดบังเอาพระพุทธรูปเป็นของตนหรือของจำเลยที่ 2 โดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการเบียดบังเอาพระพุทธรูป มีความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานยักยอกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วยข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192และการยกฟ้องนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานยักยอกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกด้วยข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192และการยกฟ้องนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่มิได้ฎีกาด้วย