พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5080/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดโดยบันดาลโทสะจากการทำร้ายร่างกายก่อนเกิดเหตุ และการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่สอดคล้องกัน
ก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียหายชกจำเลยที่บริเวณใบหน้า 1 ครั้ง แต่จำเลยเองเป็นผู้รบเร้าและยินยอมให้ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยเพื่อประสงค์จะยุติเรื่องบาดหมางที่มีต่อกัน และได้ความจากผู้เสียหายว่าชกจำเลยเพียงเบาๆ จึงยังถือไม่ได้ว่า ผู้เสียหายข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกา ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4456/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์โดยใช้ใบสั่งจ่ายสินค้าเป็นหลักฐาน ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นการลักทรัพย์ ไม่ใช่รับของโจร
ใบสั่งจ่ายสินค้าที่โจทก์ร่วมมอบให้แก่ ส. ผู้รับจ้างขนส่งปุ๋ยเป็นเพียงหลักฐานเพื่อนำไปเบิกปุ๋ยจากคลังเก็บสินค้าของโจทก์ร่วม การที่จำเลยที่ 1 รับซื้อใบสั่งจ่ายสินค้าจาก ท. ซึ่งเป็นผู้รับจ้างขนส่งช่วงจาก ส. โดยคิดตามมูลค่าปุ๋ยที่ระบุในใบสั่งจ่ายสินค้าโดยต้องการนำใบสั่งจ่ายสินค้าไปรับปุ๋ยจากคลังเก็บสินค้าของโจทก์ร่วม มิใช่เป็นการรับซื้อเฉพาะใบสั่งจ่ายสินค้า ทั้ง ท. รู้ว่าจำเลยที่ 1 จะนำใบสั่งจ่ายสินค้าไปรับปุ๋ยจากคลังเก็บสินค้าของโจทก์ร่วมไปเป็นประโยชน์ของตน ท. และจำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวการร่วมกันลักปุ๋ยของโจทก์ร่วมไปโดยใช้ใบสั่งจ่ายสินค้าเป็นหลักฐานในการเบิกจ่ายสินค้า การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานลักปุ๋ยของโจทก์ร่วมมิใช่เป็นเพียงรับของโจรใบสั่งจ่ายสินค้า
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร และจำเลยที่ 1 ไม่ได้หลงข้อต่อสู้ ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร และจำเลยที่ 1 ไม่ได้หลงข้อต่อสู้ ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4323/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิ่งราวทรัพย์: การแย่งทรัพย์ขณะทำร้ายร่างกายและการขว้างทิ้งภายหลังไม่ทำให้ความผิดเปลี่ยนฐาน
การที่จำเลยที่ 1 กระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองของโจทก์ร่วมไปในขณะที่จำเลยที่ 1 กำลังทำร้ายโจทก์ร่วม แล้วจำเลยที่ 1 วิ่งอ้อมไปทางด้านหลังและขว้างสร้อยคอและพระดังกล่าวทิ้งที่พงหญ้ามีน้ำขังห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 20 เมตร ลักษณะการกระทำของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ เป็นการแย่งการครอบครองทรัพย์ไปจากโจทก์ร่วมแล้ว และมีลักษณะเป็นการฉกฉวยซึ่งหน้าโดยทุจริต ซึ่งเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ การที่จำเลยที่ 1 ขว้างทรัพย์ทิ้งหลังจากวิ่งไปแล้ว 20 เมตร เป็นเจตนาที่เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ไปได้
ป.อ. มาตรา 91 ไม่ใช่มาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและ ป.วิ.อ. มาตรา 158 ก็มิได้ระบุให้โจทก์ต้องอ้างด้วย ประกอบกับคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำของจำเลยที่ 1 ต่างเวลากัน แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำความผิดแต่ละส่วนแยกจากกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุ ป.อ. มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 1 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ป.อ. มาตรา 91 ไม่ใช่มาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและ ป.วิ.อ. มาตรา 158 ก็มิได้ระบุให้โจทก์ต้องอ้างด้วย ประกอบกับคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำของจำเลยที่ 1 ต่างเวลากัน แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำความผิดแต่ละส่วนแยกจากกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุ ป.อ. มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 1 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4111/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานรับของโจร: การกระทำโดยรู้หรือน่ารู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาจากการกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร จำเลยต่อสู้อ้างฐานที่อยู่โดยอ้างว่าตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่ได้ไปในที่เกิดเหตุ ความผิดฐานรับของโจรก็ต่างวัน เวลา และสถานที่ที่โจทก์ฟ้อง เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้นั้น เมื่อจำเลยนำสืบรับว่าได้บอกขายเครื่องสูบน้ำของผู้เสียหายที่ 2 ให้แก่นาย ข. แสดงว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ในเรื่องรับของโจรแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4099/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์โดยใช้รถยนต์เป็นพาหนะ: จำเลยที่ 2 พ้นผิด จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ของโจทก์ร่วมโดยใช้รถยนต์บรรทุกเป็นพาหนะเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไปตาม ป.อ. มาตรา 335 (7), 336 ทวิ, 83 ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดเพียงผู้เดียวโดยจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกระทำความผิดด้วย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดเพียงฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 334 ประกอบมาตรา 336 ทวิ เท่านั้น ศาลลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานดังกล่าวตามที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3879/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนโรงงานรับเงินแล้วไม่แบ่งให้หุ้นส่วน ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก เป็นเรื่องแพ่ง
เงินที่จำเลยรับมาในฐานะเป็นผู้บริหารกิจการประกอบกิจการโรงงาน ทั้งจำเลยเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ร่วมประกอบกิจการนั้น โจทก์ร่วมจะมีสิทธิได้เงินดังกล่าวหรือไม่ เพียงใด ก็ต้องอาศัยสัญญาหุ้นส่วนที่มีต่อกันเท่านั้น การที่จำเลยไม่ส่งเงินดังกล่าวให้โจทก์ร่วมก็เป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมจะเรียกร้องเอาแก่จำเลยในทางแพ่ง จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ.มาตรา 352 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3873/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมลายมือชื่อบนบัตร ATM แม้ไม่กระทบการเบิกถอนโดยตรง ก็อาจเข้าข่ายความผิดฐานใช้เอกสารปลอมได้
การที่ธนาคารผู้ออกบัตร ATM ทั้งหลายต่างออกแบบให้ด้านหลังของบัตร ATM มีช่องให้เจ้าของบัตรลงลายมือชื่อไว้นั้น นอกจากจะมีวัตถุประสงค์มีไว้เพื่อระบุตัวเจ้าของบัตรแล้วยังอาจมีวัตถุประสงค์เป็นประการอื่น ๆ ด้วย การที่จำเลยปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในบัตร ATM ของโจทก์ร่วม แม้ลายมือชื่อปลอมจะมิใช่สาระสำคัญของการใช้บัตร ATM ในการทำรายการเบิกถอนเงินที่ตู้เบิกถอนเงิน ATM ก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ลงลายมือชื่อปลอมที่หลังบัตร ATM ของโจทก์ร่วมก็ถือได้ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมและธนาคารผู้ออกบัตร และได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารแท้จริง อันเป็นการครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3841/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามลักทรัพย์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะ: การตีความความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ และการปรับบทลงโทษ
เงินที่จำเลยทั้งสองพยายามลักจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ ไม่ใช่ทรัพยที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ตาม ป.อ. มาตรา 335 (10) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ปรับบทลงโทษตามมาตรา 335 (10) จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3448/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจไม่ใช่เอกสารสิทธิ การกรอกข้อความจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ
หนังสือมอบอำนาจเป็นเพียงเอกสารซึ่งบุคคลหนึ่งเป็นผู้มอบอำนาจมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจ ให้มีอำนาจจัดการทำนิติกรรมแทน มิได้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ จึงไม่เป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (9)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3448/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจไม่ใช่เอกสารสิทธิ การแก้ไขจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารสิทธิ
หนังสือมอบอำนาจเป็นเพียงเอกสารซึ่งบุคคลหนึ่งเป็นผู้มอบอำนาจมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจ ให้มีอำนาจจัดการทำนิติกรรมแทน มิได้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ หนังสือมอบอำนาจจึงไม่เป็นเอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (9) การที่จำเลยที่ 1 กรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ร่วมลงลายมือชื่อไว้นั้น จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 265