พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,220 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอื่น และการพิจารณาประเด็นนอกฟ้องในคดีแพ่งเกี่ยวกับพินัยกรรม
โจทก์ฟ้องว่าพินัยกรรมของ อ. ซึ่งยกทรัพย์มรดกให้จำเลยเป็นพินัยกรรมปลอมให้จำเลยแบ่งมรดกของ อ. ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ปรากฏว่าอีกคดีหนึ่งซึ่งจำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ อ. ตามพินัยกรรม และโจทก์คัดค้านว่าเป็นพินัยกรรมปลอมนั้น คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างว่า มิใช่พินัยกรรมปลอม คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความในคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ดังนั้น ในคดีนี้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอมหาได้ไม่
แม้พินัยกรรมจะมิได้ลงชื่อผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา 1671 ก็ตาม หาก อ. ผู้ทำพินัยกรรมเป็นผู้จัดพิมพ์พินัยกรรมเองก็ไม่จำต้องลงชื่อระบุว่า เป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา ดังกล่าว ทั้งพินัยกรรมที่มิได้ลงชื่อผู้พิมพ์ก็หาทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะไม่ เพราะมาตรา 1705 หาได้บัญญัติให้พินัยกรรมที่ทำไม่ถูกต้องตามมาตรา 1671 เป็นโมฆะด้วยไม่
แม้พินัยกรรมจะมิได้ลงชื่อผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา 1671 ก็ตาม หาก อ. ผู้ทำพินัยกรรมเป็นผู้จัดพิมพ์พินัยกรรมเองก็ไม่จำต้องลงชื่อระบุว่าเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตราดังกล่าว ทั้งพินัยกรรมที่มิได้ลงชื่อผู้พิมพ์ก็หาทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะไม่ เพราะมาตรา 1705 หาได้บัญญัติให้พินัยกรรมที่ทำไม่ถูกต้องตามมาตรา 1671 เป็นโมฆะด้วยไม่
คดีมีประเด็นว่า พินัยกรรมตามที่จำเลยอ้างเป็นพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ไม่มีข้อเท็จจริงโต้เถียงกันว่า จำเลยเป็นผู้เขียนหรือผู้พิมพ์พินัยกรรมหรือไม่แต่อย่างใด การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความมิได้นำสืบ และมิใช่ประเด็นแห่งคดี โดยฟังว่าจำเลยเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรม แล้วนำมาวินิจฉัยปรับเป็นข้อกฎหมายว่าจำเลยต้องห้ามมิให้รับทรัพย์ตามพินัยกรรม พินัยกรรมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1653, 1705 ย่อมเป็นการชี้ขาดตัดสินคดีนอกฟ้องนอกประเด็น แม้ปัญหาดังกล่าวจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่เกิดจากข้อเท็จจริงในการดำเนินการกระบวนพิจารณาโดยชอบ
แม้พินัยกรรมจะมิได้ลงชื่อผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา 1671 ก็ตาม หาก อ. ผู้ทำพินัยกรรมเป็นผู้จัดพิมพ์พินัยกรรมเองก็ไม่จำต้องลงชื่อระบุว่า เป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา ดังกล่าว ทั้งพินัยกรรมที่มิได้ลงชื่อผู้พิมพ์ก็หาทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะไม่ เพราะมาตรา 1705 หาได้บัญญัติให้พินัยกรรมที่ทำไม่ถูกต้องตามมาตรา 1671 เป็นโมฆะด้วยไม่
แม้พินัยกรรมจะมิได้ลงชื่อผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตรา 1671 ก็ตาม หาก อ. ผู้ทำพินัยกรรมเป็นผู้จัดพิมพ์พินัยกรรมเองก็ไม่จำต้องลงชื่อระบุว่าเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมตามมาตราดังกล่าว ทั้งพินัยกรรมที่มิได้ลงชื่อผู้พิมพ์ก็หาทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะไม่ เพราะมาตรา 1705 หาได้บัญญัติให้พินัยกรรมที่ทำไม่ถูกต้องตามมาตรา 1671 เป็นโมฆะด้วยไม่
คดีมีประเด็นว่า พินัยกรรมตามที่จำเลยอ้างเป็นพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ไม่มีข้อเท็จจริงโต้เถียงกันว่า จำเลยเป็นผู้เขียนหรือผู้พิมพ์พินัยกรรมหรือไม่แต่อย่างใด การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความมิได้นำสืบ และมิใช่ประเด็นแห่งคดี โดยฟังว่าจำเลยเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรม แล้วนำมาวินิจฉัยปรับเป็นข้อกฎหมายว่าจำเลยต้องห้ามมิให้รับทรัพย์ตามพินัยกรรม พินัยกรรมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1653, 1705 ย่อมเป็นการชี้ขาดตัดสินคดีนอกฟ้องนอกประเด็น แม้ปัญหาดังกล่าวจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่เกิดจากข้อเท็จจริงในการดำเนินการกระบวนพิจารณาโดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีแพ่งต้องสอดคล้องกับคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุด
ในกรณีที่โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุก ขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุก และให้จำเลยออกไปจากที่พิพาทตลอดจนชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์นั้น เมื่อคำพิพากษาส่วนอาญาศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้เป็นที่ยุติแล้วว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ดังนี้ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลฎีกาจำต้องถือตาม จะฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 1172/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดในการพิจารณาคดีแพ่งเมื่อมีคำพิพากษาคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ศาลต้องถือตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญา
ในกรณีที่โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุก ขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกและให้จำเลยออกไปจากที่พิพาทตลอดจนชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์นั้น เมื่อคำพิพากษาส่วนอาญาศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้เป็นที่ยุติแล้วว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ดังนี้ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลฎีกาก็จำต้องถือตาม จะฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่(อ้างฎีกาที่ 1172/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อผูกพันคำพิพากษาคดีอาญากับคดีแพ่ง และความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง
คดีอาญาศาลพิพากษาว่า ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ขับรถคันที่ชนโจทก์ในคดีแพ่ง ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งตามคดีอาญาแต่จำเลยที่ 5 นายจ้างของจำเลยที่ 4 มิได้ถูกฟ้องในคดีอาญาด้วย ศาลต้องพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีแพ่ง ซึ่งศาลฟังว่าจำเลยที่ 4 มิได้ขับรถที่เกิดเหตุเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 637/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งเอกสารเพื่อใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่ง: ความครอบครองของบุคคลภายนอกและการรับฟังหลักฐานการชำระหนี้
เอกสารอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอกนั้นหมายถึงอยู่ในความครอบครองของบุคคลซึ่งมิใช่คู่ความในคดี แม้บุคคลนั้นจะเป็นหลานและอยู่ในครอบครัวเดียวกับจำเลยก็จะถือว่าเอกสารนั้นอยู่ในความครอบครองของจำเลยไม่ได้จำเลยจึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารนั้นให้แก่โจทก์ก่อนวันนัดสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำเลยฟ้องแย้งหักกลบลบหนี้ในคดีแพ่งเมื่อมีหนี้เงินถึงกำหนดชำระทั้งสองฝ่าย
ในคดีแพ่งนั้นเมื่อจำเลยถูกฟ้องแล้ว นอกจากจำเลยจะให้การปฏิเสธแล้วจำเลยย่อมมีสิทธิหักกลบลบหนี้และฟ้องแย้งได้หากหนี้นั้นมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและถึงกำหนดชำระแล้ว และเมื่อฟังว่าหนี้ที่ขอหักกลบลบหนี้มิใช่เป็นหนี้ที่มีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยก็ย่อมได้ประโยชน์และศาลจะต้องพิพากษาให้ในจำนวนที่เหลือจากหักกลบลบหนี้กันแล้ว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค จำเลยฟ้องแย้งว่าภายหลังออกเช็คให้โจทก์แล้ว โจทก์ได้มาซื้อสินค้าจากจำเลยไป เมื่อคิดหักหนี้กันแล้วโจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยอยู่ ดังนี้ หนี้สองรายนี้ต่างเป็นหนี้เงินด้วยกัน และถึงกำหนดชำระแล้วทั้งสองฝ่าย เมื่อฟังเป็นจริงด้วยกันแล้วก็ย่อมหักกลบลบหนี้ด้วยกันได้ และจำนวนเงินที่เหลือที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยนั้นก็เกิดจากนำยอดเงินตามเช็คที่โจทก์ฟ้องมาหัก จึงถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ และเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177, 179 วรรคท้าย จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค จำเลยฟ้องแย้งว่าภายหลังออกเช็คให้โจทก์แล้ว โจทก์ได้มาซื้อสินค้าจากจำเลยไป เมื่อคิดหักหนี้กันแล้วโจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยอยู่ ดังนี้ หนี้สองรายนี้ต่างเป็นหนี้เงินด้วยกัน และถึงกำหนดชำระแล้วทั้งสองฝ่าย เมื่อฟังเป็นจริงด้วยกันแล้วก็ย่อมหักกลบลบหนี้ด้วยกันได้ และจำนวนเงินที่เหลือที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยนั้นก็เกิดจากนำยอดเงินตามเช็คที่โจทก์ฟ้องมาหัก จึงถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ และเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177, 179 วรรคท้าย จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การพิพากษาคดีอาญาเป็นผลผูกพันคดีแพ่ง และการแก้ไขคำพิพากษา
ในคดีส่วนอาญาศาลได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวเป็นผู้ประมาท ดังนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่จะนำข้อเท็จจริงดังว่านี้มาใช้ยันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 หาได้ไม่ เพราะจำเลยที่ 2 มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญานั้นด้วย
การกำหนดให้คู่ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม เป็นดุลพินิจของศาลจำคำนวณจากทุนทรัพย์ตามฟ้อง หรือตามที่โจทก์ชนะคดีก็ได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยต่อสู้คดีในลักษณะประวิงคดีและไม่สุจริต ศาลจะไม่ให้จำเลยรับผิดในค่าขึ้นศาลแทนโจทก์เฉฑาะทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีแต่ให้รับผิดตามทุนทรัยพ์ที่ฟ้องก็ได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์คือ ค่าปลงศพ 65,000 บาท ค่าโจทก์ขาดไร้อุปการะ 161,500 บาท ค่าซ่อมรถ 3,000 บาท แล้วพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงิน 164,500 บาท แก่โจทก์ เป็นการผิดพลาดไปโดยมิได้เอายอดเงินปลงศพ 25,000 บาท มารวมคำนวณด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และจำเลยฎีกาฝ่ายเดียวต่อมาดังนี้ ศาลฎีกาชอบที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดนี้เสียให้ถูกต้องได้โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 พิพากษาแก้ให้จำเลยชดใช้เงิน 189,000 บาทแก่โจทก์
การกำหนดให้คู่ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม เป็นดุลพินิจของศาลจำคำนวณจากทุนทรัพย์ตามฟ้อง หรือตามที่โจทก์ชนะคดีก็ได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยต่อสู้คดีในลักษณะประวิงคดีและไม่สุจริต ศาลจะไม่ให้จำเลยรับผิดในค่าขึ้นศาลแทนโจทก์เฉฑาะทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีแต่ให้รับผิดตามทุนทรัยพ์ที่ฟ้องก็ได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์คือ ค่าปลงศพ 65,000 บาท ค่าโจทก์ขาดไร้อุปการะ 161,500 บาท ค่าซ่อมรถ 3,000 บาท แล้วพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงิน 164,500 บาท แก่โจทก์ เป็นการผิดพลาดไปโดยมิได้เอายอดเงินปลงศพ 25,000 บาท มารวมคำนวณด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และจำเลยฎีกาฝ่ายเดียวต่อมาดังนี้ ศาลฎีกาชอบที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดนี้เสียให้ถูกต้องได้โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 พิพากษาแก้ให้จำเลยชดใช้เงิน 189,000 บาทแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความเป็นผู้ทรงเช็ค: ศาลไม่ต้องยึดตามคำพิพากษาคดีอาญา หากไม่ได้วินิจฉัยถึงความเป็นผู้ทรง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้เงินตามเช็คให้แก่โจทก์ โดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบ จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลฎีกาพิพากษาคดีส่วนอาญาเกี่ยวกับเช็คพิพาทว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังนี้เมื่อปรากฏว่าศาลฎีกาวินิจฉัยในคดีอาญาเพียงว่า จำเลยออกเช็คให้ อ. โดย อ.ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีเงินในขณะออกเช็ค แม้เช็คดังกล่าวมาตกอยู่แก่โจทก์จำเลยก็ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ศาลฎีกามิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็ค จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จะต้องฟ้องข้อเท็จจริงตามคดีส่วนอาญาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คหรือไม่ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฎีกาจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความเป็นผู้ทรงเช็ค: ข้อเท็จจริงในคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้เงิน ตามเช็คแก่โจทก์โดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบจำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลฎีกาพิพากษาคดีส่วนอาญาเกี่ยวกับเช็คพิพาทว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังนี้เมื่อปรากฏว่าศาลฎีกาวินิจฉัยใน คดีอาญาเพียงว่า จำเลยออกเช็คให้ อ. โดย อ. ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีเงินในขณะออกเช็ค แม้เช็คดังกล่าวมาตกอยู่แก่โจทก์จำเลยก็ไม่มี ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คศาลฎีกามิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คจึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีส่วนอาญาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คหรือไม่ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฎีกาจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารแปลในคดีแพ่ง & ประเด็นข้อต่อสู้ที่มิได้กำหนดไว้
สำเนาเอกสารที่คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงจะต้องส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 นั้นหมายถึงสำเนาเอกสารที่คู่ความอ้างอิงเป็นพยานหลักฐาน มิใช่หมายถึงคำแปลหรือสำเนาคำแปลเอกสาร ทั้งมาตรา 46 มิได้บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศ ส่งคำแปลหรือสำเนาคำแปลให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อโจทก์ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลยพร้อมกับสำเนาฟ้อง และได้ยื่นคำแปลกรมธรรม์ประกันภัย ดังกล่าวโดยมีคำรับรองมายื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อแนบไว้กับต้นฉบับแล้ว ศาลย่อมรับฟังกรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ได้
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การไว้ว่าจำเลยที่ 2 ประกันภัยค้ำจุน บ. มิใช่ประกันค้ำจุนจำเลยที่ 1 และ บ. ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไว้เป็น ประเด็น และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีจะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226,249 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2170/2516)
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การไว้ว่าจำเลยที่ 2 ประกันภัยค้ำจุน บ. มิใช่ประกันค้ำจุนจำเลยที่ 1 และ บ. ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไว้เป็น ประเด็น และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีจะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226,249 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2170/2516)