พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,092 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: โจทก์ไม่ขอรับเข้าทำงาน กลับเรียกร้องค่าชดเชยอื่น ศาลฎีกายืนตามศาลแรงงานกลาง
คำฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯมาตรา 49 ที่ว่าด้วยการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างอาจขอให้ศาลสั่งนายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือให้ ใช้ค่าเสียหายแทนการขอกลับเข้าทำงานแต่คดีนี้แม้โจทก์บรรยายฟ้องอ้างเหตุตามบทบัญญัติดังกล่าวแต่โจทก์มิได้ขอผล ตาม มาตรา 49. กลับยอมรับการสิ้นภาวะเป็นลูกจ้างและไม่ ติดใจเรียกค่าเสียหายตามที่มาตรา 49 ให้สิทธิไว้คง ติดใจเรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582และเรียกค่าชดเชย ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานกับขอ เงินบำเหน็จและเงินค่าตำแหน่งอันเกิดแต่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งมิได้เกี่ยวด้วยการ เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมดังนั้นการที่จะพิจารณาว่าจำเลย เป็นผู้มีอำนาจเลิกจ้างและการเลิกจ้างได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาจ้างแรงงาน ที่การลงโทษโจทก์ถึงไล่ออกต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารของนายจ้างก่อนหรือไม่ก็หาเป็นประโยชน์แห่งคดีโจทก์ไม่ที่ศาลแรงงานกลางไม่ได้ กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทและไม่วินิจฉัยความสองข้อนั้นจึง ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อบังคับบริษัทที่ระบุรวมค่าชดเชยเฉพาะส่วนเกินตามกฎหมายแรงงาน ไม่ครอบคลุมค่าชดเชยตามกฎหมายทั้งหมด
เงินบำเหน็จที่โจทก์ได้รับไปคำนวณตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยภาคผนวก 3 ข้อ 3 ก. ซึ่งข้อ 4 ก. กำหนดว่า 'เงินบำเหน็จที่กล่าวในข้อ 3 จะถือว่าได้รวม ไว้แล้วซึ่งเงินค่าชดเชยที่บริษัทพึงจ่ายตามภาคผนวก 5 ใน ส่วนที่เกินกว่าจำนวนที่กฎหมายแรงงานกำหนด'และภาคผนวก 5 กำหนดว่า 'ค่าชดเชย (1) ลูกจ้างซึ่งให้ออกจากงานเพราะ มีลูกจ้างเกินอัตราหรือลูกจ้างซึ่งถูกให้ออกจากงานโดย ไม่มีความผิดมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน (2) กรณีลูกจ้างถูกให้ออกจากงาน ถ้าเป็นลูกจ้างซึ่งทำงานมาเกินกว่า 6 ปีแล้วให้ลูกจ้างผู้นั้นมีสิทธิ ได้รับเงินชดเชยเพิ่มขึ้นอีกในอัตราเท่ากับเงินเดือนของแต่ละปี เป็นจำนวน 1 เดือนต่อปี ฯลฯ' ดังนี้เห็นได้ว่า เงินบำเหน็จคงรวมไว้แล้วซึ่งค่าชดเชยเฉพาะในส่วนที่เกิน กว่าจำนวนที่กฎหมายแรงงานกำหนดคือตามภาคผนวก 5 (2) เท่านั้นมิได้รวมถึงค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายแรงงาน ตามภาคผนวก 5 (1) เงินบำเหน็จที่โจทก์รับไปแล้วจึงไม่มี ค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานรวมอยู่ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินบำเหน็จกับการจ่ายค่าชดเชย: ข้อบังคับบริษัทจำกัดขอบเขตการรวมค่าชดเชยเฉพาะส่วนที่เกินกฎหมาย
เงินบำเหน็จที่โจทก์ได้รับไปคำนวณตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยภาคผนวก 3 ข้อ 3 ก. ซึ่งข้อ 4 ก. กำหนดว่า 'เงินบำเหน็จที่กล่าวในข้อ 3 จะถือว่าได้รวม ไว้แล้วซึ่งเงินค่าชดเชยที่บริษัทพึงจ่ายตามภาคผนวก 5 ใน ส่วนที่เกินกว่าจำนวนที่กฎหมายแรงงานกำหนด' และภาคผนวก 5 กำหนดว่า 'ค่าชดเชย (1) ลูกจ้างซึ่งให้ออกจากงานเพราะ มีลูกจ้างเกินอัตราหรือลูกจ้างซึ่งถูกให้ออกจากงานโดย ไม่มีความผิดมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน(2) กรณีลูกจ้างถูกให้ออกจากงาน ถ้าเป็นลูกจ้างซึ่ง ทำงานมาเกินกว่า 6 ปีแล้วให้ลูกจ้างผู้นั้นมีสิทธิ ได้รับเงินชดเชยเพิ่มขึ้นอีกในอัตราเท่ากับเงินเดือนของแต่ ละปีเป็นจำนวน 1 เดือนต่อปี ฯลฯ' ดังนี้เห็นได้ว่า เงินบำเหน็จคงรวมไว้แล้วซึ่งค่าชดเชยเฉพาะในส่วนที่เกิน กว่าจำนวนที่กฎหมายแรงงานกำหนดคือตามภาคผนวก 5(2) เท่านั้นมิได้รวมถึงค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายแรงงาน ตามภาคผนวก 5(1) เงินบำเหน็จที่โจทก์รับไปแล้วจึงไม่มี ค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน รวมอยู่ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2235/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่ารถเป็นค่าเดินทาง ไม่ใช่ค่าจ้าง: ไม่นำมาคำนวณค่าชดเชยได้
เงินค่ารถที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเฉพาะวันมาทำงานเท่านั้นเป็นเงินที่จ่ายทดแทนในการเดินทางที่ลูกจ้างได้จ่ายมิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน จึงมิใช่เป็นค่าจ้างจะนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2191-2206/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง: ค่าชดเชยและค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี แม้เกษียณอายุ
ระเบียบกำหนดว่าการลาพักผ่อนประจำปีลูกจ้างผู้มีสิทธิจะขอลาหยุดพักผ่อนเมื่อใดก็ได้ และจะหยุดพักผ่อนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาแล้วเมื่อนายจ้างมิได้กำหนด วันหยุดพักผ่อนไว้ว่าลูกจ้างจะต้องหยุดพักผ่อนเมื่อใดให้เป็น ที่แน่นอนระเบียบที่ให้ลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้แต่ละปีนั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการที่นายจ้างกำหนดวันหยุดพักผ่อนให้แล้ว ทั้งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 45 กำหนดว่าถ้านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำโดย ลูกจ้างมิได้มีความผิดตามข้อ 47 ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิ ได้รับตามข้อ 10 และข้อ 32 ด้วยมิได้มีเงื่อนไขกำหนดให้ลูกจ้างต้องแจ้งความจำนงขอหยุดพักผ่อนประจำปีแต่ อย่างใดเมื่อลูกจ้างไม่ได้ขอใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี พ.ศ.2525, 2526 และ 2527 เงินเดือนที่นายจ้างจ่ายให้แก่ ลูกจ้างประจำปีจึงหาได้รวมถึงค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ไม่เมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดย ลูกจ้างมิได้มีความผิดและยังมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีที่ ยังมิได้ใช้ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้าง
ระเบียบเกี่ยวกับการลาพักผ่อนประจำปี ข้อ 14 กำหนดไว้ว่า 1. พนักงานที่มีเวลาทำงานยังไม่ถึง 5 ปี ลาได้ปีละ10 วันทำงาน 2. พนักงานที่มีเวลาทำงานตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไปลาได้ 15 วันทำงานและผู้ที่เข้าเป็นพนักงาน นับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปี ดังนั้น หากพนักงานคนใดผ่านพ้นข้อห้าม ดังกล่าวในปีต่อไป พนักงานผู้นั้นย่อมเกิดสิทธิที่จะหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยหาจำต้องทำงานในปีต่อไปจนครบอีก 1 ปีไม่หรือเป็นการกำหนดว่า หลังจากพนักงานที่เข้า ทำงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือนก็ย่อมไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นแต่ในปีต่อไปก็มีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยไม่มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดไว้ในที่ใดว่าหาก ได้มีการเลิกจ้างหรือพนักงานคนใดลาออก หรือถึงแก่กรรม ภายหลังที่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนจนครบกำหนดตามระเบียบแล้วนายจ้างจะได้ใช้สิทธิต่อพนักงานผู้นั้นอย่างไรบ้างสำหรับปี พ.ศ. 2527 จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2527 โจทก์มีเวลา ทำงานคนละ 9 เดือนโดยยังมิได้หยุดพักผ่อนเมื่อถูก จำเลยเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ คนละ 15 วันตามระเบียบของจำเลยข้อ 2 เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิดังกล่าว จำเลยก็ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ คนละ 15 วันมิใช่ เฉลี่ยค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนให้โจทก์ในปี พ.ศ. 2527 เพียงคนละ 10 วัน
ค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นหนี้เงินซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 45 เมื่อจำเลยไม่จ่ายให้ โจทก์ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
ระเบียบเกี่ยวกับการลาพักผ่อนประจำปี ข้อ 14 กำหนดไว้ว่า 1. พนักงานที่มีเวลาทำงานยังไม่ถึง 5 ปี ลาได้ปีละ10 วันทำงาน 2. พนักงานที่มีเวลาทำงานตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไปลาได้ 15 วันทำงานและผู้ที่เข้าเป็นพนักงาน นับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปี ดังนั้น หากพนักงานคนใดผ่านพ้นข้อห้าม ดังกล่าวในปีต่อไป พนักงานผู้นั้นย่อมเกิดสิทธิที่จะหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยหาจำต้องทำงานในปีต่อไปจนครบอีก 1 ปีไม่หรือเป็นการกำหนดว่า หลังจากพนักงานที่เข้า ทำงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือนก็ย่อมไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นแต่ในปีต่อไปก็มีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยไม่มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดไว้ในที่ใดว่าหาก ได้มีการเลิกจ้างหรือพนักงานคนใดลาออก หรือถึงแก่กรรม ภายหลังที่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนจนครบกำหนดตามระเบียบแล้วนายจ้างจะได้ใช้สิทธิต่อพนักงานผู้นั้นอย่างไรบ้างสำหรับปี พ.ศ. 2527 จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2527 โจทก์มีเวลา ทำงานคนละ 9 เดือนโดยยังมิได้หยุดพักผ่อนเมื่อถูก จำเลยเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ คนละ 15 วันตามระเบียบของจำเลยข้อ 2 เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิดังกล่าว จำเลยก็ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ คนละ 15 วันมิใช่ เฉลี่ยค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนให้โจทก์ในปี พ.ศ. 2527 เพียงคนละ 10 วัน
ค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นหนี้เงินซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 45 เมื่อจำเลยไม่จ่ายให้ โจทก์ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2191-2206/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง: ค่าชดเชยและค่าจ้างวันหยุดพักผ่อน แม้มิได้แจ้งความจำนง
ระเบียบกำหนดว่าการลาพักผ่อนประจำปีลูกจ้างผู้มีสิทธิจะขอลาหยุดพักผ่อนเมื่อใดก็ได้และจะหยุดพักผ่อนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาแล้วเมื่อนายจ้างมิได้กำหนดวันหยุดพักผ่อนไว้ว่าลูกจ้างจะต้องหยุดพักผ่อนเมื่อใดให้เป็นที่แน่นอนระเบียบที่ให้ลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้แต่ละปีนั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการที่นายจ้างกำหนดวันหยุดพักผ่อนให้แล้วทั้งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 45 กำหนดว่าถ้านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำโดย ลูกจ้างมิได้มีความผิดตามข้อ 47 ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิ ได้รับตามข้อ 10 และข้อ 32 ด้วยมิได้มีเงื่อนไขกำหนดให้ลูกจ้างต้องแจ้งความจำนงขอหยุดพักผ่อนประจำปีแต่ อย่างใดเมื่อลูกจ้างไม่ได้ขอใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีพ.ศ.2525,2526 และ 2527 เงินเดือนที่นายจ้างจ่ายให้แก่ ลูกจ้างประจำปีจึงหาได้รวมถึงค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ไม่เมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดย ลูกจ้างมิได้มีความผิดและยังมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังมิได้ใช้ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้าง
ระเบียบเกี่ยวกับการลาพักผ่อนประจำปี ข้อ 14 กำหนดไว้ว่า1. พนักงานที่มีเวลาทำงานยังไม่ถึง 5 ปี ลาได้ปีละ10 วันทำงาน 2. พนักงานที่มีเวลาทำงานตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไปลาได้ 15 วันทำงาน และผู้ที่เข้าเป็นพนักงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปี ดังนั้น หากพนักงานคนใดผ่านพ้นข้อห้ามดังกล่าวในปีต่อไป พนักงานผู้นั้นย่อมเกิดสิทธิที่จะหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยหาจำต้องทำงานในปีต่อไปจนครบอีก1 ปีไม่หรือเป็นการกำหนดว่า หลังจากพนักงานที่เข้า ทำงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ก็ย่อมไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นแต่ในปีต่อไปก็มีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยไม่มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดไว้ในที่ใดว่าหาก ได้มีการเลิกจ้างหรือพนักงานคนใดลาออก หรือถึงแก่กรรม ภายหลังที่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนจนครบกำหนดตามระเบียบแล้วนายจ้างจะได้ใช้สิทธิต่อพนักงานผู้นั้นอย่างไรบ้างสำหรับปี พ.ศ.2527 จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2527 โจทก์มีเวลา ทำงานคนละ 9 เดือนโดยยังมิได้หยุดพักผ่อนเมื่อถูก จำเลยเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ คนละ 15 วันตามระเบียบของจำเลยข้อ 2 เมื่อโจทก์มิ ได้ใช้สิทธิดังกล่าว จำเลยก็ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ คนละ 15 วันมิใช่ เฉลี่ยค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนให้โจทก์ในปี พ.ศ.2527 เพียงคนละ 10 วัน
ค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นหนี้เงินซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 45 เมื่อจำเลยไม่จ่ายให้ โจทก์ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่จำเลยเลิกจ้าง โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
ระเบียบเกี่ยวกับการลาพักผ่อนประจำปี ข้อ 14 กำหนดไว้ว่า1. พนักงานที่มีเวลาทำงานยังไม่ถึง 5 ปี ลาได้ปีละ10 วันทำงาน 2. พนักงานที่มีเวลาทำงานตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไปลาได้ 15 วันทำงาน และผู้ที่เข้าเป็นพนักงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปี ดังนั้น หากพนักงานคนใดผ่านพ้นข้อห้ามดังกล่าวในปีต่อไป พนักงานผู้นั้นย่อมเกิดสิทธิที่จะหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยหาจำต้องทำงานในปีต่อไปจนครบอีก1 ปีไม่หรือเป็นการกำหนดว่า หลังจากพนักงานที่เข้า ทำงานนับถึงวันสิ้นปีไม่ถึง 6 เดือน ก็ย่อมไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นแต่ในปีต่อไปก็มีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ทันทีโดยไม่มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดไว้ในที่ใดว่าหาก ได้มีการเลิกจ้างหรือพนักงานคนใดลาออก หรือถึงแก่กรรม ภายหลังที่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนจนครบกำหนดตามระเบียบแล้วนายจ้างจะได้ใช้สิทธิต่อพนักงานผู้นั้นอย่างไรบ้างสำหรับปี พ.ศ.2527 จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2527 โจทก์มีเวลา ทำงานคนละ 9 เดือนโดยยังมิได้หยุดพักผ่อนเมื่อถูก จำเลยเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ คนละ 15 วันตามระเบียบของจำเลยข้อ 2 เมื่อโจทก์มิ ได้ใช้สิทธิดังกล่าว จำเลยก็ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ คนละ 15 วันมิใช่ เฉลี่ยค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนให้โจทก์ในปี พ.ศ.2527 เพียงคนละ 10 วัน
ค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นหนี้เงินซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 45 เมื่อจำเลยไม่จ่ายให้ โจทก์ จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่จำเลยเลิกจ้าง โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2190/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์จ้างแรงงาน: คนงานเหมาประจำมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเมื่อเกษียณอายุ
โจทก์ทำงานกับจำเลยเป็นคนงานเหมาประจำได้ค่าจ้างเป็นรายเทการทำงานต้องเซ็นชื่อไปและกลับแม้ไม่มีงานให้ทำการ ลางานต้องยื่นใบลาการบังคับบัญชาขึ้นต่อหมวดพัสดุมี สิทธิได้รับค่าครองชีพเบิกค่ารักษาพยาบาลและค่าเล่าเรียนบุตร ได้ มีสิทธิทำงานไปจนเกษียณอายุคนงานประเภท เหมาชั่วคราวของจำเลยไม่มีสิทธิต่าง ๆ ดังกล่าว การจ่ายค่าแรงของคนงานเหมาประจำหากได้ค่าแรงน้อยกว่าเดือนละ 530 บาท ก็จะได้รับ 530 บาท แสดงว่าจำเลยมิได้คำนึงถึงผลสำเร็จ แห่งงานที่โจทก์ทำให้จำเลยแม้การจ่ายค่าแรงจำเลยจะคิด ให้แก่ผู้ทำหน้าที่บรรจุสุราจากจำนวนเทของสุราที่บรรจุขวดและผู้ทำหน้าที่ล้างขวดสุราจำเลยจ่ายค่าแรงให้เท่ากับ ผู้ทำหน้าที่บรรจุสุรา การคิดค่าแรงตามจำนวนเทจึงเป็นเพียงวิธีการคำนวณค่าจ้างเท่านั้นไม่ใช่การคิดค่าแรงงานตาม ผลงานที่คนงานประจำทำได้ในแต่ละวันความสัมพันธ์ระหว่าง โจทก์กับจำเลยจึงเป็นการจ้างแรงงาน
เมื่อโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ปัญหาว่าการที่โจทก์จะมีสิทธิรับบำเหน็จหรือไม่จ่ายเงินเข้าสมทบกองทุนบำเหน็จหรือไม่ ก็ไม่ทำให้สภาพการเป็นลูกจ้างของโจทก์เปลี่ยน ไปเป็นไม่ใช่ลูกจ้างปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง จึงไม่เป็นสาระแก่การ วินิจฉัย
ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการพ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุไม่ใช่การเลิกจ้างนั้นเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การทั้งมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์เป็นลูกจ้างประจำที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน การคำนวณค่าชดเชยของโจทก์จึงต้องคิดจากค่าจ้างของการทำงานที่ โจทก์ได้รับจริงในหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้าย
เมื่อโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ปัญหาว่าการที่โจทก์จะมีสิทธิรับบำเหน็จหรือไม่จ่ายเงินเข้าสมทบกองทุนบำเหน็จหรือไม่ ก็ไม่ทำให้สภาพการเป็นลูกจ้างของโจทก์เปลี่ยน ไปเป็นไม่ใช่ลูกจ้างปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง จึงไม่เป็นสาระแก่การ วินิจฉัย
ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการพ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุไม่ใช่การเลิกจ้างนั้นเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การทั้งมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์เป็นลูกจ้างประจำที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน การคำนวณค่าชดเชยของโจทก์จึงต้องคิดจากค่าจ้างของการทำงานที่ โจทก์ได้รับจริงในหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2190/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลูกจ้างเหมาประจำมีสิทธิค่าชดเชย แม้จ่ายค่าแรงตามผลงาน การคำนวณต้องใช้ค่าจ้าง 180 วันสุดท้าย
โจทก์ทำงานกับจำเลยเป็นคนงานเหมาประจำได้ค่าจ้างเป็นรายเทการทำงานต้องเซ็นชื่อไปและกลับแม้ไม่มีงานให้ทำการ ลางานต้องยื่นใบลาการบังคับบัญชาขึ้นต่อหมวดพัสดุมี สิทธิได้รับค่าครองชีพ เบิกค่ารักษาพยาบาลและค่าเล่าเรียนบุตร ได้ มีสิทธิทำงานไปจนเกษียณอายุคนงานประเภท เหมาชั่วคราวของจำเลยไม่มีสิทธิต่างๆดังกล่าว การจ่ายค่าแรงของคนงานเหมาประจำหากได้ค่าแรงน้อยกว่าเดือนละ530บาทก็จะได้รับ 530 บาทแสดงว่าจำเลยมิได้คำนึงถึงผลสำเร็จ แห่งงานที่โจทก์ทำให้จำเลยแม้การจ่ายค่าแรงจำเลยจะคิด ให้แก่ผู้ทำหน้าที่บรรจุสุราจากจำนวนเทของสุราที่บรรจุขวดและผู้ทำหน้าที่ล้างขวดสุราจำเลยจ่ายค่าแรงให้เท่ากับ ผู้ทำหน้าที่บรรจุสุรา การคิดค่าแรงตามจำนวนเทจึงเป็นเพียงวิธีการคำนวณค่าจ้างเท่านั้นไม่ใช่การคิดค่าแรงงานตาม ผลงานที่คนงานประจำทำได้ในแต่ละวันความสัมพันธ์ระหว่าง โจทก์กับจำเลยจึงเป็นการจ้างแรงงาน เมื่อโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ปัญหาว่าการที่โจทก์จะ มีสิทธิรับบำเหน็จหรือไม่จ่ายเงินเข้าสมทบกองทุนบำเหน็จหรือไม่ ก็ไม่ทำให้สภาพการเป็นลูกจ้างของโจทก์เปลี่ยน ไปเป็นไม่ใช่ลูกจ้างปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง จึงไม่เป็นสาระแก่การ วินิจฉัย ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการพ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุไม่ใช่การเลิกจ้างนั้นเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การทั้งมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์เป็นลูกจ้างประจำที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน การคำนวณค่าชดเชยของโจทก์จึงต้องคิดจากค่าจ้างของการทำงานที่ โจทก์ได้รับจริงในหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2030/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีทำร้ายผู้บังคับบัญชาถือเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับร้ายแรง นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าวันหยุดพักผ่อน
การที่ศาลแรงงานกลางรับฟังพยานปากใดและไม่รับฟังพยานปากใดเป็นดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานเมื่อศาลแรงงานกลางรับฟังเป็นประการใดแล้วข้อเท็จจริงย่อมยุติคู่ความจะอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอื่นหาได้ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 54 โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยทำร้ายร่างกายผู้บังคับบัญชาในระหว่างที่มีการประชุมพนักงานในบริษัทจำเลยจนปากแตกโลหิตไหล. การกระทำดังกล่าวนอกจากจะเป็นการทำผิดอาญาซึ่งมีโทษตามกฎหมายแล้ว. ยังเป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสมไม่เคารพยำเกรงผู้บังคับบัญชาซึ่งปฏิบัติตามหน้าที่.ย่อมทำให้จำเลยได้รับความเสียหายด้านการปกครอง. และไม่ว่าข้อบังคับของจำเลยจะกำหนดเป็นความผิดรุนแรงมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม. ความผิดของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงตามความหมายในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ47(3). จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องตักเตือน และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย. และเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ได้กระทำผิดตามข้อ 47 แล้ว. จำเลยย่อมไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ทั้งสิ้นไม่ว่าปีใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1921/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณค่าชดเชยสำหรับลูกจ้างประจำที่ได้รับค่าจ้างรายวันและรายเดือน โดยมิใช่ค่าจ้างตามผลงาน
โจทก์มิใช่ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วยแต่โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ได้รับค่าจ้าง อัตราสุดท้ายวันละ 75 บาท ค่าครองชีพเดือนละ 400 บาท การคิดค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 46(3) จึงต้องนำค่าจ้างรายวันมาคูณด้วยหนึ่งร้อยแปดสิบวันและค่าจ้างรายเดือนมาคูณด้วยหก จะเป็นค่าชดเชย ที่โจทก์จะพึงได้รับส่วนการที่โจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้างในวันลากิจ และในวันหยุดประจำสัปดาห์ เป็นเพียงการ คำนวณจ่ายค่าจ้างของจำเลย ไม่มีผลมาถึงการคำนวณจ่ายค่าชดเชยซึ่งกฎหมายได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ