พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,780 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1706/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดเครื่องหมายการค้า: สิทธิในเครื่องหมายการค้าเก่ากว่าย่อมคุ้มครอง แม้จำเลยจดทะเบียนภายหลัง
การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนสำหรับสินค้าจำพวกที่22รถจักรยานสองล้อดีกว่าจำเลยให้เพิกถอนเครื่องหมายการค้าที่จำเลยได้จดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าจำพวกและชนิดเดียวกันและให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพราะการลวงขายสินค้าของจำเลยทั้งสองให้ผู้ซื้อเข้าใจว่าเป็นสินค้าของโจทก์นั้นเป็นการที่โจทก์ทั้งสองฟ้องตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา41(1)และมาตรา29วรรคสองซึ่งให้สิทธิแก่เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนไว้ฟ้องเช่นนั้นได้ดังนั้นเมื่อปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์เพียงว่าโจทก์ที่1เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีโจทก์ที่2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์ที่2เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าพิพาทที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนโจทก์ทั้งสองได้ใช้เครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้ารถจักรยานสองล้อรถจักรยานสามล้อและอุปกรณ์รถจักรยานดังกล่าวโดยโจทก์ทั้งสองประกอบการค้าเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้านั้นแต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่1เป็นเจ้าของหรือเป็นเจ้าของร่วมกับโจทก์ที่2ในเครื่องหมายการค้าพิพาทแต่อย่างใดโจทก์ที่1มิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในเครื่องหมายการค้าพิพาทหรือเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนโจทก์ที่1จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา41(1)และมาตรา29(2) เครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่2เป็นรูปจระเข้หันหน้าไปทางด้านขวาอยู่ภายในวงกลมกับมีอักษรโรมันคำว่า"THECROCODILE"และ"TRADEMARK"อยู่ในรูปคล้ายห่วงติดกับวงกลมเหนือและใต้รูปจระเข้ตามลำดับกับมีรูปอาร์ม6เหลี่ยมอยู่ใต้วงกลมโดยมีอักษรโรมันคำว่า"THECROCODILEENGLANDLTD"โดยมีหยดน้ำ3หยดใต้ตัวอักษรโรมันดังกล่าวซึ่งอยู่ในรูปอาร์มนั้นส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่1เป็นรูปจระเข้หันหน้าไปทางด้านซ้ายกับมีรูปดาว5ดวงอยู่ใต้รูปจระเข้ภายในวงกลม2ชั้นระหว่างวงกลม2ชั้นซึ่งมีลักษณะเป็นวงแหวนนั้นมีอักษรโรมันคำว่า"THECROCODILE"และ"FIVESTAR"อยู่เหนือรูปจระเข้และใต้รูปดาว5ดวงนั้นตามลำดับกับมีจุดอยู่ในวงแหวนตรงกึ่งกลางด้านซ้ายและด้านขวาด้านละ1จุดโดยมีรูปอาร์ม6เหลี่ยมอยู่ใต้วงกลมชั้นนอกในรูปอาร์มดังกล่าวมีอักษรโรมันคำว่า"TRADEMARK"อยู่ใต้อักษรโรมันคำว่า"FIVESTAR"ซึ่งอยู่ในวงแหวนดังกล่าวและมีหยดน้ำ3หยดอยู่ด้านล่างซึ่งเครื่องหมายการค้าทั้งสองรูปมีลักษณะคล้ายกันมากโดยมีจุดเด่นเป็นรูปจระเข้อยู่ภายในวงกลมและมีรูปอาร์ม6เหลี่ยมใต้วงกลมนั้นมีตัวอักษรโรมันคำว่า"THECROCODILE"อยู่ในวงกลมด้านบนและมีตัวอักษรโรมันกับหยดน้ำ3หยดอยู่ในรูปอาร์มนั้นซึ่งแม้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่2และของจำเลยที่1ดังกล่าวมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้างอาทิเช่นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่2มีวงกลมชั้นเดียวส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่1มีวงกลม2ชั้นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่2มีอักษรโรมันคำว่า"TRADEMARK"อยู่ด้านล่างของวงกลมส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่1มีอักษรโรมันคำว่า"FIVESTAR"อยู่ด้านล่างของวงกลมโดยมีรูปดาว5ดวงอยู่ใต้รูปจระเข้และเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่2มีอักษรโรมันคำว่า"THECROCODILEENGLANDLTD"อยู่ในรูปอาร์ม6เหลี่ยมส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่1มีอักษรโรมันคำว่า"TRADEMARK"อยู่ในรูปอาร์ม6เหลี่ยมก็ตามแต่ข้อแตกต่างดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อยหากไม่พิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ยากที่ประชาชนทั่วไปจะแยกแยะข้อแตกต่างเช่นนั้นได้ประชาชนผู้ซื้อย่อมเรียกขานสินค้าของโจทก์ที่2และจำเลยที่1เหมือนกันว่ารถจักรยานตราจระเข้เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่1จึงเหมือนและคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่2จนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้สืบสนหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์โจทก์ที่2ได้ใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทมาก่อนจำเลยที่1โจทก์ที่2จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยที่1และมีสิทธิขอให้เพิกถอนเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ได้จดทะเบียนไว้นั้นได้ตามมาตรา41(1)แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาท เมื่อโจทก์ที่2เป็นผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าตราจระเข้ที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนและเครื่องหมายการค้าตราจระเข้ที่จำเลยที่1ได้รับการจดทะเบียนไว้ดีกว่าจำเลยที่1และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ลวงขายสินค้าของจำเลยว่าเป็นสินค้าของโจทก์แม้จำเลยที่1จะเป็นผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นไว้โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา29วรรคสองอันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่เกิดข้อพิพาทการที่จำเลยที่1ใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่1กับสินค้ารถจักรยานสองล้อซึ่งเป็นสินค้าประเภทเดียวกันกับสินค้าของโจทก์ย่อมทำให้สาธารณชนหลงผิดเป็นการแสวงหาประโยชน์จากชื่อเสียงในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่2โดยมิชอบและมีเจตนาเพื่อลวงขายสินค้าของจำเลยที่1ว่าเป็นสินค้าของโจทก์ที่2ซึ่งโจทก์ที่2ย่อมได้รับความเสียหายทำให้โจทก์ที่2จำหน่ายสินค้ารถจักรยานสองล้อของโจทก์ที่2ได้น้อยลงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ที่2แล้วซึ่งศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชู้สามี-ละเมิด-ค่าทดแทน:สิทธิภริยาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากชู้ได้ แม้มีการหย่า
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่2แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับจำเลยที่1ซึ่งเป็นสามีโจทก์ในทางชู้สาวตั้งแต่พ.ศ.2518ตลอดมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ถือว่าจำเลยที่2ประพฤติตนเป็นชู้ของสามีผู้อื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมากเกี่ยวกับเกียรติยศชื่อเสียงและความทุกข์ทรมานทางจิตใจเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172แล้วส่วนความเสียหายแต่ละอย่างเป็นจำนวนเท่าใดเป็นรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้และคดีไม่ขาดอายุความเพราะจำเลยที่2กระทำละเมิดต่อเนื่องกันมายังมิได้หยุดกระทำจนถึงขณะฟ้อง จำเลยที่2แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่ามีความสัมพันธ์กับจำเลยที่1สามีโจทก์ในทำนองชู้สาวโดยโจทก์มิได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยที่1อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องจำเลยที่2ฉันภริยาโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1523วรรคสองได้โดยไม่จำต้องคำนึงว่าโจทก์กับจำเลยที่1ตกลงหย่ากันเองหรือศาลพิพากษาให้หย่ากัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1581/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสร้างหลุมฝังศพใกล้บ้านผู้อื่น: ละเมิด, สุสาน, ดุลพินิจเจ้าพนักงาน
ตามสภาพของหลุมฝังศพย่อมก่อให้เกิดความหวาดกลัวในเรื่องภูติผีวิญญาน และเป็นที่รังเกียจแก่ผู้ที่มิใช่ญาติผู้ตายซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ใกล้หลุมฝังศพการที่จำเลยที่ 1 สร้างหลุมฝังศพหรือฮวงซุ้ยเพื่อเก็บศพของ ส.สามีจำเลยที่ 1ในที่ดินของตนเองห่างจากบ้านของโจทก์ทั้งสองประมาณ 10 เมตร โดยที่ดินของโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 เป็นที่อยู่อาศัย ไม่เคยมีหลุมฝังศพมาก่อนและไม่ปรากฎว่าบริเวณใกล้เคียงมีหลุมฝังศพแต่อย่างใด ทั้งตามประเพณีแห่งท้องถิ่นก็ไม่นิยมให้มีการฝังศพในเขตหมู่บ้าน ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1337
พ.ร.บ. สุสานและฌาปนสถาน พ.ศ.2528 มาตรา 10 เป็นบทบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดฝังศพไว้ในสถานที่อื่นนอกจากสุสานสาธารณะหรือสุสานเอกชนเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น หากฝ่าฝืนจะต้องมีความผิด การที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ฝังศพตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงมีผลเพียงว่าจำเลยที่ 1 มิได้ตกเป็นผู้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถานฯเท่านั้น หามีผลทำให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจกระทำการใด ๆ ให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายไม่
มาตรา 10 และ 25 แห่ง พ.ร.บ.สุสานและฌาปนสถานดังกล่าวมิได้กำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องออกคำสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 10รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือเคลื่อนย้ายศพที่ฝังไว้ออกไป คงให้อำนาจแก่เจ้าพนักงาน-ท้องถิ่นที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้ดำเนินการดังกล่าวหรือไม่ก็ได้ แม้ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ถูกลงโทษฐานกระทำความผิดตามมาตรา 10 แล้ว และได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ฝังศพไว้ที่เดิมต่อไปก็ตาม แต่ปรากฎว่านายอำเภอจำเลยที่ 2 และผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ใช้ดุลพินิจอนุญาตโดยได้ดำเนินการตามขั้นตอนและอาศัยข้อมูลความเห็นที่สอดคล้องต้องกันของผู้ที่เกี่ยวข้องตามสมควรแล้ว ดังนี้การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง
พ.ร.บ. สุสานและฌาปนสถาน พ.ศ.2528 มาตรา 10 เป็นบทบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดฝังศพไว้ในสถานที่อื่นนอกจากสุสานสาธารณะหรือสุสานเอกชนเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น หากฝ่าฝืนจะต้องมีความผิด การที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ฝังศพตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงมีผลเพียงว่าจำเลยที่ 1 มิได้ตกเป็นผู้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถานฯเท่านั้น หามีผลทำให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจกระทำการใด ๆ ให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายไม่
มาตรา 10 และ 25 แห่ง พ.ร.บ.สุสานและฌาปนสถานดังกล่าวมิได้กำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องออกคำสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 10รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือเคลื่อนย้ายศพที่ฝังไว้ออกไป คงให้อำนาจแก่เจ้าพนักงาน-ท้องถิ่นที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้ดำเนินการดังกล่าวหรือไม่ก็ได้ แม้ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ถูกลงโทษฐานกระทำความผิดตามมาตรา 10 แล้ว และได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ฝังศพไว้ที่เดิมต่อไปก็ตาม แต่ปรากฎว่านายอำเภอจำเลยที่ 2 และผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ใช้ดุลพินิจอนุญาตโดยได้ดำเนินการตามขั้นตอนและอาศัยข้อมูลความเห็นที่สอดคล้องต้องกันของผู้ที่เกี่ยวข้องตามสมควรแล้ว ดังนี้การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1581/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการสร้างฮวงซุ้ยใกล้เคียงที่ดิน และความรับผิดของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม พ.ร.บ.สุสาน
ตามสภาพของหลุมฝังศพที่มีศพฝังอยู่ย่อมก่อให้เกิดความหวาดกลัวในเรื่องภูตผีวิญญาณและเป็นที่รังเกียจแก่ผู้ที่มิใช่ญาติผู้ตายซึ่งอยู่บ้านใกล้หลุมฝังศพฉะนั้นการที่จำเลยที่1ก่อสร้างหลุมฝังศพในที่ดินของตนเองและนำศพฝังไว้ห่างบ้านโจทก์ทั้งสองประมาณ10เมตรย่อมจะมากพอที่จะทำให้โจทก์ทั้งสองจำต้องรับรู้ว่าตนอยู่ใกล้หลุมฝังศพและต้องได้รับความกดดันทางจิตใจจากการมีพิธีการเกี่ยวกับศพการที่จำเลยที่1ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นภายหลังจากฝังศพแล้วมีผลเพียงว่าจำเลยที่1มิได้ตกเป็นผู้กระทำผิดพระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถานพ.ศ.2528อีกต่อไปเท่านั้นหาได้มีผลทำให้จำเลยที่1มีอำนาจกระทำการใดๆให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่การกระทำของจำเลยที่1ดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ติดกันได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1337จึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถานพ.ศ.2528มาตรา10เป็นบทบัญญัติให้อำนาจเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะใช้ดุลพินิจอนุญาตให้มีการฝังศพตามที่มีผู้ขอมาหรือไม่ก็ได้ดังนั้นการที่จำเลยที่2และที่3ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้มีการฝังศพไว้ที่เดิมโดยไม่ต้องรื้อถอนหลุมฝังศพจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1581/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากฮวงซุ้ยรุกล้ำ + เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจถูกต้องตามกฎหมาย
จำเลยที่1ได้ฝังศพส. สามีจำเลยที่1ไว้ก่อนแล้วจึงได้ขออนุญาตฝังศพต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นในภายหลังแม้จำเลยที่1จะได้รับอนุญาตก็มีผลเพียงทำให้จำเลยที่1ไม่เป็นผู้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถานพ.ศ.2528อีกต่อไปไม่ได้มีผลทำให้จำเลยมีอำนาจกระทำการใดๆให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่1ได้สร้างหลุมฝังศพหรือฮวงซุ้ยลงในที่ดินของจำเลยที่1เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ติดกันได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งที่ดินมาคำนึงประกอบต้องด้วยมาตรา1337แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์การกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถานพ.ศ.2528มาตรา10และมาตรา25ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนมาตรา10รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือเคลื่อนย้ายศพที่ฝังไว้ออกไปหรือไม่ก็ได้เมื่อจำเลยที่2และที่3ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฝังศพส. สามีจำเลยที่1ไว้ที่ที่ดินเดิมซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์โดยไม่ใช้อำนาจสั่งให้จำเลยที่1รื้อถอนหลุมฝังศพหรือฮวงซุ้ยออกไปได้อาศัยข้อมูลและความเห็นที่สอดคล้องต้องกันของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตามสมควรแล้วการกระทำของจำเลยที่2และที่3จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา10หรือมาตรา25ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของทรัพย์รุกล้ำ-ละเมิด: ฟ้องบังคับรื้อได้ไม่ติดอายุความ, กรรมการบริษัทร่วมรับผิด
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อกำแพงของจำเลยที่ปิดกั้นที่ดินโจทก์และให้รื้อหลังคาที่คร่อมที่ดินโจทก์ออกไปเป็นคดีที่โจทก์ใช้สิทธิการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เรียกร้องให้ขจัดความเดือดร้อนรำคาญให้สิ้นไปตราบใดที่จำเลยที่1ยังก่อความเดือดร้อนรำคาญอยู่โจทก์ย่อมฟ้องร้องขอให้บังคับได้มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายในทางละเมิดจึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ1ปี จำเลยที่1เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดซึ่งการแสดงออกย่อมกระทำโดยทางกรรมการเมื่อหลังคาโรงงานของจำเลยที่1รุกล้ำเป็นละเมิดต่อที่ดินของโจทก์จำเลยที่3ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจจึงต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1506/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดเครื่องหมายการค้า: เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีผลต่อสิทธิโจทก์และเจตนาจำเลย
ปัญหาที่ว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาพิพาทไม่มีทางที่จะสับสนหลงผิดว่ายาของจำเลยเป็นยาของโจทก์ และจำเลยไม่มีเจตนาที่จะเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เพราะลักษณะและสีของฉลาก การใช้ตัวอักษรของยากับลักษณะของเม็ดยาเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนเนื่องจากยาของโจทก์มีเครื่องหมายการค้าของโจทก์กำกับทุกเม็ดส่วนของจำเลยไม่มี เมื่อจำเลยทราบว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยคล้ายของโจทก์ จำเลยเลิกผลิตยาในชื่อเดิมทันที การที่ชื่อยาพิพาทมีความใกล้เคียงกันเป็นเหตุบังเอิญหาใช่จำเลยมีเจตนาทุจริตไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า กรมทะเบียนการค้าโดยคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้มีคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ จึงต้องถือว่าการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่ถูกต้องมาแต่แรก โจทก์ไม่มีสิทธิอ้างเครื่องหมายการค้านี้แต่ผู้เดียว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์นั้น แม้จะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แต่เมื่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเพิ่งมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์หลังจากจำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์แล้ว ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เพิ่งปรากฏในชั้นศาลอุทธรณ์ จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง
เหตุที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์เนื่องจากเป็นเครื่องหมายที่ขัดต่อนโยบายแห่งรัฐในอันที่จะต้องให้ความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก ดังนั้น การเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวจึงหากระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ในการเป็นเจ้าของและการใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวก่อนที่จะถูกเพิกถอนไม่และไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่เป็นการละเมิดมาแต่เดิมกลายเป็นไม่ละเมิด
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า กรมทะเบียนการค้าโดยคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้มีคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ จึงต้องถือว่าการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่ถูกต้องมาแต่แรก โจทก์ไม่มีสิทธิอ้างเครื่องหมายการค้านี้แต่ผู้เดียว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์นั้น แม้จะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แต่เมื่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเพิ่งมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์หลังจากจำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์แล้ว ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เพิ่งปรากฏในชั้นศาลอุทธรณ์ จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง
เหตุที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์เนื่องจากเป็นเครื่องหมายที่ขัดต่อนโยบายแห่งรัฐในอันที่จะต้องให้ความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก ดังนั้น การเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวจึงหากระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ในการเป็นเจ้าของและการใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวก่อนที่จะถูกเพิกถอนไม่และไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่เป็นการละเมิดมาแต่เดิมกลายเป็นไม่ละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1506/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดเครื่องหมายการค้า: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ แม้มีการเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายหลัง
ปัญหาที่ว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาพิพาทไม่มีทางที่จะสับสนหลงผิดว่ายาของจำเลยเป็นยาของโจทก์และจำเลยไม่มีเจตนาที่จะเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพราะลักษณะและสีของฉลากการใช้ตัวอักษรของยากับลักษณะของเม็ดยาเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนเนื่องจากยาของโจทก์มีเครื่องหมายการค้าของโจทก์กำกับทุกเม็ดส่วนของจำเลยไม่มีเมื่อจำเลยทราบว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยคล้ายของโจทก์จำเลยเลิกผลิตยาในชื่อเดิมทันทีการที่ชื่อยาพิพาทมีความใกล้เคียงกันเป็นเหตุบังเอิญหาใช่จำเลยมีเจตนาทุจริตไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่ากรมทะเบียนการค้าโดยคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้มีคำสั่งให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์จึงต้องถือว่าการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่ถูกต้องมาแต่แรกโจทก์ไม่มีสิทธิอ้างเครื่องหมายการค้านี้แต่ผู้เดียวการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์นั้นแม้จะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นแต่เมื่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเพิ่งมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์หลังจากจำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์แล้วปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เพิ่งปรากฏในชั้นศาลอุทธรณ์จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคสอง เหตุที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์เนื่องจากเป็นเครื่องหมายที่ขัดต่อนโยบายแห่งรัฐในอันที่จะต้องให้ความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกดังนั้นการเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวจึงหากกระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ในการเป็นเจ้าของและการใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวก่อนที่จะถูกเพิกถอนไม่และไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่เป็นการละเมิดมาแต่เดิมกลายเป็นไม่ละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรู้ตัวผู้รับผิดชอบและอายุความในคดีละเมิด: การย้อนสำนวนเพื่อพิจารณาความรับผิดของจำเลยที่ 2
คณะกรรมการสอบสวนซึ่งโจทก์ที่ 2 แต่งตั้งให้สอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบ ได้ทำการสอบสวนและรายงานผลการสอบสวนต่อผู้แทนของโจทก์ที่ 2สรุปว่า จำเลยที่ 1 เท่านั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการละเมิด จึงจะถือว่าโจทก์ที่ 2รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยที่ 2 ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันดังกล่าวหาได้ไม่ แต่ถือว่าโจทก์ทั้งสองรู้ตัวจำเลยที่ 2 ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อกรมอัยการมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบว่า สมควรจะฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดชอบร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่ทราบหนังสือของกรมอัยการดังกล่าว คดีสำหรับจำเลยที่ 2จึงไม่ขาดอายุความ
ปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดฐานละเมิดหรือไม่ เพียงใดนั้น ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัย เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ทั้งผลการวินิจฉัยของศาลล่างอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิในการฎีกาของคู่ความ ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาปัญหาดังกล่าว
ปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดฐานละเมิดหรือไม่ เพียงใดนั้น ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัย เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ทั้งผลการวินิจฉัยของศาลล่างอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิในการฎีกาของคู่ความ ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาปัญหาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: เริ่มนับเมื่อใด? ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้พิจารณาความรับผิดของจำเลยที่ 2
คณะกรรมการสอบสวนซึ่งโจทก์ที่2แต่งตั้งให้สอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบได้ทำการสอบสวนและรายงานผลการสอบสวนต่อผู้แทนของโจทก์ที่2สรุปว่าจำเลยที่1เท่านั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการละเมิดจึงจะถือว่าโจทก์ที่2รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยที่2ผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันดังกล่าวหาได้ไม่แต่ถือว่าโจทก์ทั้งสองรู้ตัวจำเลยที่2ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อกรมอัยการมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบว่าสมควรจะฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่2รับผิดชอบร่วมกับจำเลยที่1ด้วยเมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีภายใน1ปีนับแต่ทราบหนังสือของกรมอัยการดังกล่าวคดีสำหรับจำเลยที่2จึงไม่ขาดอายุความ ปัญหาว่าจำเลยที่2ต้องรับผิดฐานละเมิดหรือไม่เพียงใดนั้นศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยเพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาลทั้งผลการวินิจฉัยของศาลล่างอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิในการฎีกาของคู่ความศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาปัญหาดังกล่าว