คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลอุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3387/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142
จำเลยซึ่งชนะคดีในศาลชั้นต้นย่อมคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคำแก้อุทธรณ์สำหรับประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นนั้นได้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดีตามคำอุทธรณ์โดยมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยที่ 2 แก้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240(3)ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะคู่ความที่ยังไม่ทราบคำพิพากษา โดยไม่จำต้องอ่านให้คู่ความอื่นฟังอีก
บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140(3)บัญญัติแต่เพียงว่าให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยมิได้บังคับว่าต้องอ่านต่อหน้าคู่ความทุกฝ่ายเสมอไป ในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลครั้งแรกซึ่งศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดให้จำเลยทั้งห้าทราบโดยวิธีปิดหมายนั้นไม่มีคู่ความมาศาล ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดการอ่านโดยถือว่าได้อ่านให้คู่ความฟังแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงเพิ่งปรากฏในภายหลังตามคำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า การปิดหมายแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชอบ ศาลชั้นต้นย่อมชอบที่จะอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 2ฟังใหม่ โดยไม่จำต้องอ่านให้โจทก์และจำเลยอื่นฟังอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่เมื่อส่งหมายไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นว่าชอบด้วยกระบวนพิจารณา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140(3) บัญญัติว่าการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้อ่านข้อความทั้งหมดในศาลโดยเปิดเผยตามเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายนี้ต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บทกฎหมายดังกล่าวบัญญัติเพียงว่าให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งต่อหน้าคู่ความทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายหนึ่งโดยมิได้บังคับว่าต้องอ่านต่อหน้าคู่ความทุกฝ่ายเสมอไป การที่ศาลชั้นต้นงดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความทุกฝ่ายฟังเพราะไม่มีคู่ความมาศาล โดยปรากฏตามรายงานการเดินหมายว่ามีการปิดหมายให้จำเลยทั้งห้าไว้แล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏภายหลังว่า การส่งหมายโดยวิธีปิดหมายดังกล่าวไม่ชอบเพราะเป็นการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งได้ย้ายไปก่อนปิดหมายแล้ว ก็ไม่ทำให้การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียไป ที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เฉพาะทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังใหม่ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ไม่จำต้องอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังอีกเพราะถือว่าได้อ่านตามกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3112/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างมาตรากฎหมายในคำพิพากษา: ศาลอุทธรณ์ไม่ต้องระบุซ้ำหากศาลชั้นต้นระบุไว้แล้ว
แม้ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยไม่ได้ระบุมาตราที่ยกขึ้นปรับก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดโดยระบุมาตรานั้นไว้แล้วจึงเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ได้ระบุอ้างมาตราที่ยกขึ้นปรับแก่คดีโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 186(7) ประกอบมาตรา 214 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2829/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นต่อคำสั่งทุเลาการบังคับและการงดการขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งถอนการยึดที่ดินที่โจทก์นำยึดศาลชั้นต้นสั่งผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหายตามคำร้องขอของผู้คัดค้านร่วม ผู้ร้องมิได้วางเงิน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผุ้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งว่าเป็นเรื่องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้อง ให้งดดำเนินการเกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทระหว่างอุทธรณ์ผู้คัดค้านร่วมฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องที่โต้แย้งคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นนั้น ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งพิพากษาแล้ว โดยพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นและมิได้กล่าวถึงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้งดดำเนินการเกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวที่ผู้คัดค้านร่วมฎีกาขึ้นมาย่อมเป็นอันยกเลิกไปในตัว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 วรรคสองประกอบมาตรา 260 (1) จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดคัานร่วม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2829/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งคุ้มครองประโยชน์ระหว่างอุทธรณ์ยกเลิกเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งถอนการยึดที่ดินที่โจทก์นำยึด ศาลชั้นต้นสั่งผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหายตามคำร้องขอของผู้คัดค้านร่วม ผู้ร้องมิได้วางเงิน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งว่าเป็นเรื่องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้อง ให้งดดำเนินการเกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทระหว่างอุทธรณ์ ผู้คัดค้านร่วมฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องที่โต้แย้งคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นนั้น ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งพิพากษาแล้ว โดยพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นและมิได้กล่าวถึงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้งดดำเนินการเกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวที่ผู้คัดค้านร่วมฎีกาขึ้นมาย่อมเป็นอันยกเลิกไปในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 วรรคสองประกอบมาตรา 260(1) จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดค้านร่วม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม – หนังสือรับสภาพหนี้ไม่ชัดเจน – จำเลยไม่เข้าใจข้อหา – ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ไว้ให้แก่โจทก์ ซึ่งจำเลยซื้อสินค้าเชื่อไปจากโจทก์ 12,000 บาท ตามหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ท้ายฟ้อง แต่หนังสือดังกล่าวมีข้อความเพียงว่า "วันหลังกลับคำพูดยอดหนี้หนึ่งหมื่นสองพันบาท ให้เรียกกันว่าหมาในที่สาธารณะชนได้ตลอดเวลาโดยไม่ถือหมิ่นประมาท" ซึ่งไม่มีตอนไหนเลยที่ระบุว่าจำเลยซื้อสินค้าไปจากโจทก์เมื่อใด มีอะไรบ้างและจำนวนเท่าไร และจำเลยจะชำระหนี้จำนวนนี้แก่โจทก์หรือไม่ จะชำระอย่างไร เมื่อใด ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่เป็นไปตามรูปแบบ เหตุไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และมิได้ยกข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมายใหม่
ฎีกาของโจทก์มี 3 ข้อ กล่าวคือ ข้อ 1. เป็นคำฟ้อง คำให้การของจำเลยทั้งสอง คำพิพากษาศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ข้อ 2. โจทก์นำคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นมาเขียนไว้เกือบทั้งหมด และข้อ 3.โจทก์เขียนไว้ในฎีกาเพียงว่า "โจทก์ขอถือเอาคำอุทธรณ์ของโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของคำฎีกาโจทก์" กับท้ายฎีกาของโจทก์ระบุว่า ดังนั้นขอศาลฎีกาได้โปรดพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายจำนวน395,147 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ฎีกาของโจทก์เช่นนี้เป็นฎีกาที่โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ชอบและโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เพราะเหตุใด คำอุทธรณ์ของโจทก์ที่โจทก์ขอถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฎีกาโจทก์นั้นก็เป็นการคัดค้านเฉพาะคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่อาจนำมาเป็นคำคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก (เดิม)ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2487/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ที่ไม่ตรงกับข้อต่อสู้เดิมในศาลชั้นต้น ถือเป็นข้อใหม่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยได้
จำเลยอ้างในอุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกวงแชร์ไม่ฟ้องนายวงแชร์ นายวงแชร์และโจทก์ต้องคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย แต่ตามคำให้การเป็นเรื่องที่จำเลยต่อสู้ว่า เมื่อแชร์ล้ม นายวงแชร์หลบหนีจำเลยยังไม่ได้เปียแชร์อีกมือหนึ่ง แต่ส่งเงินค่าแชร์ไปแล้วพอดีกับเงินค่าแชร์ที่จะต้องส่งต่อไป สำหรับแชร์มือที่จำเลยได้เปียไปแล้ว จำเลยได้หักกลบลบหนี้กับนายวงแชร์ แต่นายวงแชร์มอบเช็คพิพาทให้โจทก์โดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย ทั้งที่โจทก์รู้อยู่แล้วว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับนายวงแชร์เหตุแห่งการต่อสู้คดีในเรื่องโจทก์และนายวงแชร์คบคิดกันฉ้อฉลจำเลยตามอุทธรณ์และตามที่จำเลยให้การไว้ เป็นคนละเรื่องแตกต่างกัน อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย และพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยนั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์ฎีกาในคดีอาญา แม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ
แม้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ศาลชั้นต้นลงโทษปรับ 100 บาท จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ และศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อหาความผิดนี้มาแล้วก็ตาม เมื่อศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดดังกล่าวนี้ได้
of 225