พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับโอนเช็คพิพาทด้วยเจตนาฉ้อฉล โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินตามเช็ค
จำเลยที่1ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยที่2ปลูกบ้านและได้ออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับลงวันที่ล่วงหน้ามอบให้จำเลยที่2เป็นค่าจ้างปลูกบ้านงวดที่4เมื่อจำเลยที่2ได้รับเช็คพิพาทแล้วก็ทิ้งงานไปจำเลยที่1ได้แจ้งให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้แนะนำจำเลยที่2ให้รู้จักกับจำเลยที่1ทราบและให้ช่วยติดตามจำเลยที่2ให้ด้วยดังนั้นการที่โจทก์รับเช็คพิพาทจากจำเลยที่2ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าเช็คดังกล่าวเป็นเช็คที่จำเลยที่1จ่ายให้จำเลยที่2เป็นค่าจ้างสร้างบ้านงวดที่4และจำเลยที่2ได้ทิ้งงานไปไม่สร้างให้เสร็จตามสัญญาจำเลยที่1จึงไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระตามเช็คพิพาทให้จำเลยที่2การรับโอนเช็คพิพาทของโจทก์จากจำเลยที่2เป็นการรับโอนด้วยคบคิดกันฉ้อฉลโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินตามเช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9333/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำซัดทอดผู้ร่วมกระทำผิด: ศาลรับฟังได้หากไม่มีเจตนาพ้นผิด
คำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน หาใช่จะต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยเสียทีเดียวไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่า ด.จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การซัดทอดจำเลยที่ 3 เพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์จากการซัดทอดนั้นแต่อย่างใด ศาลจึงชอบที่จะฟังคำซัดทอดดังกล่าวมาประกอบพยานแวดล้อมและพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9333/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำซัดทอดผู้ร่วมกระทำผิดใช้ได้หากไม่มีเจตนาพ้นผิด การลดโทษจำเลยจากพฤติการณ์
คำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันหาใช่จะต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยเสียทีเดียวไม่เมื่อไม่ปรากฏว่าด. จำเลยที่1และที่2ให้การซัดทอดจำเลยที่3เพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์จากการซัดทอดนั้นแต่อย่างใดศาลจึงชอบที่จะฟังคำซัดทอดดังกล่าวมาประกอบพยานแวดล้อมและพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 933/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องบังคับตามสัญญา, การมอบอำนาจ, และเจตนาในการยกทรัพย์ให้บุตร
ที่พิพาทโจทก์จำเลยตีราคาไว้จำนวน100,000บาทดังนั้นราคาทรัพย์หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง100,000บาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแก่ ว. บุตรสาวที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจนั้นให้โจทก์ไว้เพราะไม่มีการมอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนสำเนาทะเบียนบ้านและโฉนดที่ดินให้โจทก์ตามเหตุผลที่ยกขึ้นอ้างในฎีกาข้อ2นั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญายกที่พิพาทให้แก่บุตร2คนตามบันทึกหลังทะเบียนหย่าโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องโอนที่พิพาทให้แก่บุตรทั้งสองจำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปดำเนินการโอนที่พิพาทให้แก่บุตรแทนจำเลยถือได้ว่าการที่จำเลยทำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวให้โจทก์ไว้เป็นการกระทำใดๆอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามบันทึกหลังทะเบียนหย่าอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา172เดิมเมื่อหนังสือมอบอำนาจลงวันที่4สิงหาคม2524อายุความจึงสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่4สิงหาคม2524และเริ่มนับใหม่ต่อไปโจทก์ฟ้องคดีวันที่4กรกฎาคม2533ยังไม่เกิน10ปีจึงไม่ขาดอายุความ บันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนหย่าระหว่างโจทก์จำเลยระบุยกที่พิพาทแก่บุตรทั้ง2คนโดยมิได้มีเงื่อนไขกำหนดให้สัญญาสิ้นความผูกพันหากเหลือบุคคลที่จะเป็นผู้รับทรัพย์นั้นเพียงผู้เดียวและเมื่อ พ.บุตรคนหนึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วจำเลยยังทำหนังสือมอบอำนาจเป็นการรับสภาพหนี้ที่มีความผูกพันที่จะโอนที่พิพาทให้แก่ ว. บุตรซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่ายังคงเหลืออยู่เพียงผู้เดียวโดยระบุชื่อว. เป็นผู้รับโอนไว้อย่างชัดแจ้งย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการยกที่พิพาทนั้นต้องการยกให้แก่บุตรเท่านั้นโดยมิได้คำนึงถึงจำนวนบุตรว่าจะอยู่ครบทั้งคู่หรือเหลือเพียงคนเดียวโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทแก่ ว.ตามสัญญาและศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาททั้งแปลงแก่ ว. ได้ การที่จำเลยระบุผู้รับโอนที่พิพาทเป็น ว. เพียงคนเดียวในหนังสือมอบอำนาจแตกต่างไปจากสัญญาเดิมก็หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาเดิมซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94ตามที่จำเลยอ้างไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 927/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลิกสัญญาซื้อขายโดยปริยาย: การเจรจาใหม่แสดงเจตนาไม่ผูกพันตามสัญญาเดิม
สัญญาซื้อขายมิได้ระบุแจ้งชัดว่าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดนัดแล้วสัญญาเป็นอันเลิกกันทันทีทั้งวัตถุประสงค์แห่งสัญญาก็เห็นได้ว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ณเวลาที่กำหนดการที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทโดยกำหนดโอนที่ดินภายในเดือนมกราคม2533แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญาไม่ปรากฏว่าทั้งโจทก์และจำเลยได้บอกกล่าวหรือเตรียมการใดๆที่จะทำการโอนที่ดินตามสัญญาทั้งได้เจรจาตกลงราคาที่พิพาทกันใหม่แต่ไม่เป็นที่ตกลงกันถือได้ว่าโจทก์จำเลยตกลง เลิกสัญญาจะซื้อขายโดยปริยายแล้วการที่จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาหรือโจทก์มีหนังสือให้ไปโอนที่พิพาทในภายหลังหามีผลว่าเป็นการยึดถือตามสัญญาเดิมอันจะทำให้สัญญาเดิมมีผลผูกพันแต่ประการใดไม่ แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาหรือไม่แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้ผิดสัญญาแต่เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยปริยายโจทก์จำเลยจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิมโดยจำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391หาได้ขัดต่อสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9134/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันกระทำความผิดฐานขายยาเสพติด แม้มิได้ครอบครองยาเสพติดเอง
จำเลยทั้งสองทำงานที่บริษัท ส.ด้วยกัน ในวันเวลาเกิดเหตุเมื่อจำเลยที่ 1 ทราบว่าสายลับมาขอซื้อเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 ได้เรียกจำเลยที่ 2 มาขายให้แก่สายลับและร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการเจรจาเรียกราคาเมทแอมเฟตามีน เมื่อสายลับตกลงซื้อ จำเลยที่ 1 ก็รับเงินจากสายลับแล้วมอบให้แก่จำเลยที่ 2 ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแม้จำเลยที่ 1 จะมิได้เป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนจำนวนที่ขายให้แก่สายลับก็ตาม แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1ได้รู้เห็นและมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น เมื่อจำเลยที่ 1 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 และได้กระทำการอันเป็นส่วนหนึ่งแห่งการขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดเข้าลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 1จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการในความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวตาม ป.อ.มาตรา 83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9134/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมกระทำผิดค้ายาเสพติด แม้ไม่ได้ครอบครองยา
จำเลยทั้งสองทำงานที่บริษัท ส.ด้วยกัน ในวันเวลาเมื่อจำเลยที่ 1 ทราบว่าสายลับมาขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจำเลยที่ 1 ได้เรียกจำเลยที่ 2 มาขายให้แก่สายลับและร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการเจรจาเรียกราคาเมทแอมเฟตามีนเมื่อสายลับตกลงซื้อ จำเลยที่ 1 ก็รับเงินจากสายลับแล้วมอบให้แก่จำเลยที่ 2 ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแม้จำเลยที่ 1จะมิได้เป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนจำนวนที่ขายให้แก่สายลับก็ตาม แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นและมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น เมื่อจำเลยที่ 1 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 และได้กระทำการอันเป็นส่วนหนึ่งแห่งการขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดเข้าลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการในความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การ: จำเลยต้องทราบการฟ้องและมีเจตนาไม่ยื่น
คำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยอ้างว่าขณะที่มีการปิดสำเนาคำฟ้องที่ภูมิลำเนาของจำเลยนั้น จำเลยไปพักอาศัยอยู่กับบุตรที่ต่างจังหวัด การพิจารณาว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าจำเลยทราบว่าตนถูกฟ้องตามหมายเรียกให้ยื่นคำให้การแล้วไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยไม่ได้ทำการไต่สวนให้สิ้นกระแสความเสียก่อนเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8492/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้เถียงอายุผู้เสียหายเพื่อปฏิเสธเจตนา เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปีมีกำหนด 7 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสองและฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบห้าปีมีกำหนด 5 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 317วรรคสาม โดยให้เรียงกระทงลงโทษ รวมจำคุก 12 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงลงโทษจำคุกรวม 8 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนั้นโทษแต่ละกระทงที่ลดโทษแล้วจึงไม่เกินห้าปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ที่จำเลยฎีกาโดยอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยมิได้รู้ข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายมีอายุไม่เกินสิบห้าปี การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบความผิดในข้อเจตนากระทำความผิดนั้น การที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยรู้หรือไม่รู้ว่าผู้เสียหายมีอายุเท่าใดนั้น เป็นการนำสืบในข้อเท็จจริงและเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่จำเลยฎีกาโดยอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยมิได้รู้ข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายมีอายุไม่เกินสิบห้าปี การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบความผิดในข้อเจตนากระทำความผิดนั้น การที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยรู้หรือไม่รู้ว่าผู้เสียหายมีอายุเท่าใดนั้น เป็นการนำสืบในข้อเท็จจริงและเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8449/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมาททางแพ่ง: เหตุบันดาลโทสะไม่成立หากไม่มีเจตนาทำร้าย
โจทก์ร่วมขับรถยนต์โดยประมาททับเท้าซ้ายของจำเลย โดยมิได้มีเจตนาใช้กำลังทำร้ายรังแก หรือแกล้งทำความเดือนร้อนให้จำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอันจะอ้างเหตุบันดาลโทสะได้