พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,033 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดิน - โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของตนเอง แต่ไม่แสดงสิทธิในที่ดินตามกฎหมาย
ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นโจทก์ฟ้องคดีบรรยายฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้แจ้งการครอบครองที่ดินแปลงนี้ไว้แล้ว โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์และขอให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วยซึ่งเมื่อพิจารณาตามฟ้องแล้วเห็นได้ว่าโจทก์กล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์เอง มิได้อาศัยอำนาจจากอธิบดีที่ดินซึ่ งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามความในมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2479 และมิได้อ้างอำนาจตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 784/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: เงื่อนไขการขอให้จำเลยออกจากที่ดินผูกพันโจทก์ แม้จะมีเหตุอื่น
สัญญาประนีประนอมยอมความในศาลระหว่างโจทก์จำเลยระบุเงื่อนไขไว้เพียงว่า หากโจทก์มีความจำเป็นทำการเพื่อประโยชน์ในการรถไฟแล้ว โจทก์จึงจะขอให้จำเลยออกจากที่รายพิพาทได้ ฉะนั้น การที่จำเลยได้เบิกความเป็นพยานในคดีที่บิดาจำเลยฟ้องโจทก์จำเลยว่าที่รายพิพาทเป็นของนายเงินจึงไม่เกี่ยวกับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแต่ประการใด โจทก์จะยกเหตุอื่นมาฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้ เพราะโจทก์ต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 70/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ของกลางในคดีศุลกากร: ศาลใช้บทบัญญัติประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 ได้ แม้โจทก์มิได้อ้าง
คำขอท้ายฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 นั้น เมื่อมาตรา 4 บัญญัติให้เพิ่มความเป็นมาตรา 27 ทวิ ก็เท่ากับโจทก์อ้างและขอให้ลงโทษตามความในมาตรา 4 คือ มาตรา 27 ทวิแล้ว
การกระทำของจำเลยผิดพระราชบัญญัติศุลกากร ฯ มาตรา 27 ทวิ โทษเบากว่ามาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ เพิ่งบัญญัติขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2499 กับความผิดตามมาตรา 27 ทวิ นี้ไม่เป็นผิดตามมาตรา 27 ส่วนพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 32 ก็ให้ริบทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดพระราชบัญญัติศุลกากรซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น ที่ประชุมใหญ่เห็นว่าจะริบรถยนต์ของกลางตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 32 ไม่ได้ แต่ริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 ได้ แม้โจทก์ไม่ได้อ้างมาตรา 33 แต่ก็ขอให้ริบรถยนต์ของกลางมาแล้ว ศาลจึงริบตามบทกฎหมายที่ถูกต้องได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2510)
การกระทำของจำเลยผิดพระราชบัญญัติศุลกากร ฯ มาตรา 27 ทวิ โทษเบากว่ามาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ เพิ่งบัญญัติขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2499 กับความผิดตามมาตรา 27 ทวิ นี้ไม่เป็นผิดตามมาตรา 27 ส่วนพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 32 ก็ให้ริบทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดพระราชบัญญัติศุลกากรซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น ที่ประชุมใหญ่เห็นว่าจะริบรถยนต์ของกลางตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 32 ไม่ได้ แต่ริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 ได้ แม้โจทก์ไม่ได้อ้างมาตรา 33 แต่ก็ขอให้ริบรถยนต์ของกลางมาแล้ว ศาลจึงริบตามบทกฎหมายที่ถูกต้องได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลียนเครื่องหมายการค้า: จำเลยไม่ได้เลียนแบบเครื่องหมายโจทก์ แต่ใช้เครื่องหมายเดิมที่ใช้มานาน จึงไม่มีความผิด
โจทก์จำเลยต่างสั่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าอย่างเดียวกัน เข้ามาจำหน่ายด้วยกัน กรณีจึงหาใช่เป็นเรื่องจำเลยเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาใช้เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของโจทก์อันเป็นการเลียนเครื่องหมายการค้าซึ่งจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 274 ไม่ และเมื่อจำเลยไม่ได้เลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์แล้ว การนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายสินค้าดังกล่าวก็ย่อมไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 275 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดจากสัญญาประนีประนอม: จำเลยปิดทำนบหลังโจทก์เปิด ย่อมเป็นฝ่ายละเมิดและต้องรับผิด
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยยอมให้เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะปิดเปิดทำนบในเมื่อต้องการหรือไม่ต้องการน้ำ ต่อมาโจทก์เปิดทำนบ จำเลยไปปิดทำให้น้ำท่วมต้นข้าวโจทก์เสียหาย ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยจะสู้ว่าโจทก์ไม่เปิดทำนบเอง โจทก์มีส่วนทำความผิดก่อให้เกิดความเสียหายด้วยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1208/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บังคับคดีต้องตรงกับที่พิพาทที่ชนะคดี โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องบังคับคดีในที่ดินที่ไม่ได้ระบุในคำพิพากษา
เมื่อฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทที่โจทก์ชนะคดี คือ ที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิร้องขอให้บังคับจำเลยออกจากที่ดินที่จำเลยครอบครอง คำร้องขอให้บังคับคดีของโจทก์จึงต้องยกเสีย และการที่ศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องนี้หาใช่เป็นการปฏิเสธสิทธิของโจทก์ตามคำพิพากษาหรือเป็นการลบล้างคำพิพากษาของศาลซึ่งมีอยู่ไม่ แต่เป็นเพราะโจทก์ขอให้มีการบังคับคดีไม่ตรงกับที่โจทก์ชนะคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174-1175/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ของโจทก์ในคดีถูกไล่ออก แม้จำเลยไม่นำสืบ
โจทก์ฟ้องกล่าวว่า จำเลยแกล้งใส่ความโจทก์ หาว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่และแกล้วไล่โจทก์ออกจากงานโดยโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหา ดังนี้ ถึงแม้ศาลจะสั่งให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนว่าโจทก์มีเจตนาทุจริตทำให้จำเลยเสียหายและจำเลยไม่สืบก็ตาม แต่โจทก์ย่อมมีภาระพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำฟ้องของตนว่า จำเลยแกล้งไล่โจทก์ออกจากงาน เพราะโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174-1175/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ของโจทก์ในการฟ้องร้องกรณีถูกกล่าวหาทุจริตและถูกไล่ออก แม้จำเลยไม่นำสืบ
โจทก์ฟ้องกล่าวว่า จำเลยแกล้งใส่ความโจทก์ หาว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่และแกล้งไล่โจทก์ออกจากงานโดยโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหา ดังนี้ ถึงแม้ศาลจะสั่งให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนว่าโจทก์มีเจตนาทุจริตทำให้จำเลยเสียหายและจำเลยไม่สืบก็ตามแต่โจทก์ย่อมมีภาระพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำฟ้องของตนว่าจำเลยแกล้งไล่โจทก์ออกจากงาน เพราะโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเอาที่ดินใช้หนี้ขัดต่อกฎหมายจำนอง โจทก์บังคับโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้
หนังสือสัญญามีข้อความกล่าวเท้าถึงการจำนองที่โจทก์จำเลยทำกันไว้แต่เดิมจึงเห็นได้ว่า คู่กรณียังรับรองสัญญาจำนองที่ทำไว้เดิม แม้สัญญาจำนองจะมีกำหนดไถ่ถอนคืนกันภายใน 3 ปี เมื่อครบกำหนดโจทก์ยังมิได้ใช้สิทธิบังคับจำนอง ข้อความตา สัญญาฉบับหลังมีความว่า ข้าพเจ้านายเวส ขอทำสัญญารับเงินเพิ่มให้นายชาวซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินนาและสวนไว้ และมีข้อความยืนยันเพิ่มต่อไปในข้อ 1 แห่งสัญญาว่า "ขอรับเงินเพิ่มอีก 3,768 บาท" และยังมีข้อสัญญาต่อไปอีกว่า ยอมให้จำเลยนำเงินที่จำนองเดิมกับเงินที่รับเพิ่มไปใหม่อีก 3,768 บาท มาใช้คืนแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้ต่อไปอีกภายใน 2 ปี แสดงว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จำนองเอาเงินมาไถ่คืนไปได้ หาใช่ว่าจำเลยยอมตกลงจะขายที่ดินที่จำนองให้แก่โจทก์แต่อย่างเดียวไม่ และข้อ 2 แห่งสัญญายังมีข้อความอีกว่า ให้ท่าน (โจทก์) เข้าครอบครองเก็บผลไม้ในสวนและทำนาแทนดอกเบี้ย และเงินเพิ่มต่อไป อันเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยมอบที่ดินให้ไว้เพื่อเป็นประกันเงินที่รับไปโดยการจำนอง
การเอาที่ดินใช้หนี้เป็นเงินกู้ที่จำนองเป็นประกัน ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรค 2 ผู้รับจำนองจึงไม่อาจขอให้บังคับผู้จำนองให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่จำนองไว้นั้นได้
การเอาที่ดินใช้หนี้เป็นเงินกู้ที่จำนองเป็นประกัน ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรค 2 ผู้รับจำนองจึงไม่อาจขอให้บังคับผู้จำนองให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่จำนองไว้นั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเลยดำเนินคดีโดยโจทก์ ศาลมีอำนาจจำหน่ายคดีจากสารบบความได้
ศาลชั้นต้นสั่งเลื่อนการไต่สวนมูลฟ้องจากวันที่ 28 ตุลาคม 2508 โดยให้นัดไต่สวมมูลฟ้องใหม่ในวันที่ 13 ธันวาคม 2508 อันให้เวลาโจทก์ถึง 46 วัน และศาลก็สั่งให้แจ้งวันนัดให้จำเลยทราบ ถ้าส่งหมายนัดไม่ได้ ก็ให้ปิดหมาย ซึ่งถ้าโจทก์จะยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้อง ก็น่าจะกระทำได้ก่อนกำหนด ไม่ใช่รอให้ถึงวันนัดโดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งแล้วมายื่นคำร้องขอแก้ฟ้องเอาในวันนัด เพื่ออาศัยเป็นเหตุที่จะเลื่อนคดีต่อไป เช่นนี้ ย่อมเป็นการละเลยเพิกเฉยในการดำเนินคดี ศาลย่อมสั่งจำหน่ายคดี
โจทก์เสียจากสารบบความได้
โจทก์เสียจากสารบบความได้