พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,834 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตายในภาวะฉุกละหุกและบันดาลโทสะ ศาลลดโทษจากฆ่าผู้อื่นเป็นทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย
จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายในที่มืด ในระยะเวลาฉุกละหุกไม่ มีเวลาเลือกที่แทงและแทงไปเพียงครั้งเดียวซึ่งเป็น การแทงโดยไม่อาจทราบได้ว่าจะถูกตรงที่ใดจำเลยรัก ผู้ตายซึ่งเป็นภรรยามาก ไม่เคยดุด่าทำร้ายผู้ตายมาก่อนเมื่อแทงผู้ตายแล้วมิได้หลบหนี ได้พยายามนำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลเพราะเข้าใจว่าผู้ตายยังไม่ตาย ถือไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายจำเลยจึงมีความผิดเพียง ฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 จำเลยเอาใจชวนผู้ตายซึ่งเมาสุรามากให้รับประทานอาหารผู้ตายไม่รับประทานกลับเหยียบจานข้าวและตะเกียงจนดับแล้ว เดินข้ามสำรับกับข้าวไปนอน จำเลยตามไปง้อ ผู้ตายกลับ ใช้มีดแทงจำเลยก่อน จำเลยแย่งมีดได้จึงใช้มีดแทงผู้ตาย ถือได้ว่าจำเลยบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ฟ้องขอให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เมื่อทางพิจารณา ได้ความว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจน เป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ก็ลงโทษตามฐานความผิดเท่าที่พิจารณาได้ความได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1926/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการกระทำชิงทรัพย์ต้องเกิดขึ้นก่อนการทำร้ายร่างกาย การกระทำที่เกิดจากทะเลาะวิวาทไม่ถือเป็นการชิงทรัพย์
จำเลยทำร้าย ส. เนื่องจากทะเลาะโต้เถียงกัน ไม่ใช่เป็นการทำร้ายเพื่อประสงค์จะเอาทรัพย์จาก ส.จำเลยเพิ่งมีเจตนาที่จะเอาทรัพย์ไปในตอนที่ ส. ใช้กระบอกตั๋วรถเมล์ตีจำเลยเมื่อจำเลยแย่งกระบอกตั๋วมาได้ก็มิได้ขู่เข็ญว่าจะประทุษร้าย ส. แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1867/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อันตรายแก่กายจากการทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาความรุนแรงของการกระทำและบาดแผล
การทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายนั้น จะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ความรุนแรงแห่งการกระทำของจำเลยประกอบกับบาดแผลที่ผู้ถูกทำร้ายได้รับ จำเลยซึ่งเป็นหญิงใช้เล็บข่วนดั้งจมูกผู้เสียหายเป็นรอยเล็บข่วนยาวประมาณ 1 เซนติเมตร มีโลหิตไหล ยังถือไม่ได้ว่าเป็นอันตรายแก่กาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 184/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการทำร้ายร่างกาย: ศาลพิจารณาจากลักษณะการกระทำและอาวุธที่ใช้เพื่อวินิจฉัยความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทมาตราที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 1 ปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
คดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยใช้มีดปอกผลไม้ทั้งด้ามและตัวมีดยาวเพียง 1 คืบ แทงผู้เสียหายไป 1 ที ขณะชกต่อยกัน แล้วมิได้แทงซ้ำอีก แสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส ไม่ผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
คดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยใช้มีดปอกผลไม้ทั้งด้ามและตัวมีดยาวเพียง 1 คืบ แทงผู้เสียหายไป 1 ที ขณะชกต่อยกัน แล้วมิได้แทงซ้ำอีก แสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส ไม่ผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 184/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการทำร้ายร่างกาย: พิจารณาจากลักษณะการกระทำและอาวุธที่ใช้ เพื่อวินิจฉัยความผิดฐานทำร้ายร่างกายหรือพยายามฆ่า
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทมาตราที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 1 ปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 คดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยใช้มีดปอกผลไม้ทั้งด้ามและตัวมีดยาวเพียง 1 คืบแทงผู้เสียหายไป 1 ที ขณะชกต่อยกัน แล้วมิได้แทงซ้ำอีก แสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่าจากข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส ไม่ผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายภรรยาเก่าจนเสียชีวิต ศาลฎีกาไม่ลดโทษ เหตุพฤติการณ์โหดร้ายและจำนนต่อหลักฐาน
จำเลยไปขอเงินผู้ตายซึ่งเคยเป็นภรรยามีบุตรด้วยกัน แต่เลิกกันแล้ว ผู้ตายให้ไปเอาที่บ้าน จำเลยขู่จะฆ่ามารดาผู้ตายห้ามก็ไม่ฟัง จำเลยตีและเตะจนผู้ตายล้มลงไปในนามีน้ำขัง จำเลยตามไปกดคอจนตายเพราะขาดอากาศหายใจ ดังนี้ เป็นการข่มเหงรังแกเอาแก่สตรีโดยปราศจากเมตตาปรานีและโดยไม่มีเหตุอันน่าเห็นใจแต่อย่างใดกระทำต่อหน้าพยาน ทั้งถูกจับกุมได้ในทันทีหลังเกิดเหตุแม้รับสารภาพ ก็เป็นการจำนนต่อพยานหลักฐาน จึงไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1717/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานข่มขืนใจ, ทำร้ายร่างกาย, และการไล่ติดตามด้วยรถยนต์ ไม่เข้าข่ายหน่วงเหนี่ยวหรือข่มขืนใจ
ในวันเกิดเหตุโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างขับรถมาจอดติดการจราจรอยู่ด้วยกัน โดยรถจำเลยที่ 1 จอดอยู่ข้างหน้ารถโจทก์ ปรากฏว่ามีเสียงแตรดังมาทางด้านหลัง จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าโจทก์เป็นคนบีบแตรไล่ เมื่อการจราจรบางลงจำเลยที่ 1 และโจทก์ได้ขับรถต่อไปและไปติดสัญญาณไฟแดงด้วยกัน จำเลยที่ 1 ได้ลงจากรถมาถาม โจทก์ว่าบีบแตรไล่ทำไม โจทก์ตอบว่าไม่ได้บีบ เกิดโต้เถียงกัน โจทก์ได้พูดขึ้นว่า จะเป็นทหารเกเรหรืออย่างไร จำเลยโกรธจึงจับแขนโจทก์ซึ่งวางพาดประตูรถพร้อมกับพูดว่าลงมาลงมาขอตะบันหน้าหน่อย โจทก์สะบัดแขนหลุดและไม่ยอมลงจากรถ เช่นนี้ การที่จำเลยที่ 1 จับแขนโจทก์ชักชวนให้โจทก์ลงมาจากรถก็เพื่อให้โจทก์ลงมาวิวาทกับจำเลยเท่านั้น การกระทำของจำเลยมิใช่การข่มขืนใจให้กระทำหรือไม่กระทำการดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ต่อมาหลังจากที่โจทก์และจำเลยที่ 1 เกิดโต้เถียงกันดังกล่าวแล้ว ในระหว่างที่โจทก์ขับรถไปตามถนน จำเลย ที่ 1 ได้ขับรถไล่ตามกลั่นแกล้งโจทก์ โดยขับรถปาดหน้า รถโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องหยุดรถอย่างกระทันหัน ดังนี้ แม้ขณะโจทก์ขับรถอยู่โจทก์ย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการขับรถไปตามถนนสาธารณะตามสิทธิที่กฎหมายรับรองได้ กรณีจำเลยที่ 1 ขับรถเข้ามาปาดหน้ารถโจทก์และปิดกั้นรถโจทก์ไม่ ให้โจทก์ขับรถไปโดยสะดวก เมื่อจำเลยปาดหน้ารถโจทก์โจทก์กลัวว่ารถโจทก์จะชนรถของจำเลยโจทก์ก็ต้องหยุดรถการที่จำเลยขับรถปาดหน้ารถโจทก์ให้โจทก์หยุดรถขับรถไปไม่ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังกระทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้(ผิดมาตรา 309) รถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับปาดหน้ารถโจทก์ มิใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง จึงริบไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1623/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าและการกระทำความผิดสองกรรม: การทำร้ายร่างกายก่อนแล้วจึงพยายามฆ่า
จำเลยใช้ขวดตีผู้เสียหายขณะนอนหลับจนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายผู้เสียหายพยายามลุกขึ้นนั่ง จำเลยเตะผู้เสียหายล้มลงเมื่อผู้เสียหายพยายามจะลุกขึ้นนั่งอีก จำเลยก็พูดว่า 'จะสู้หรือ' แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
จำเลยทราบว่าปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้เสียหายมีกระสุนบรรจุอยู่ ที่กระสุนด้านไม่ระเบิดอาจเป็นเพราะกระสุนเสื่อมคุณภาพหรือเป็นเหตุบังเอิญประการอื่น หาเป็นการแน่แท้ว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายจากการยิงของจำเลยไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตามมาตรา 288, 80
จำเลยเพิ่งมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหลังจากทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายไปแล้ว เพราะเข้าใจว่าผู้เสียหายจะลุกขึ้นมาต่อสู้ดังนั้น ที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายจน ได้รับอันตรายแก่กายกับพยายามฆ่าผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำอันเป็นความผิดสองกรรม
จำเลยทราบว่าปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้เสียหายมีกระสุนบรรจุอยู่ ที่กระสุนด้านไม่ระเบิดอาจเป็นเพราะกระสุนเสื่อมคุณภาพหรือเป็นเหตุบังเอิญประการอื่น หาเป็นการแน่แท้ว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายจากการยิงของจำเลยไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตามมาตรา 288, 80
จำเลยเพิ่งมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหลังจากทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายไปแล้ว เพราะเข้าใจว่าผู้เสียหายจะลุกขึ้นมาต่อสู้ดังนั้น ที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายจน ได้รับอันตรายแก่กายกับพยายามฆ่าผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำอันเป็นความผิดสองกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1623/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าหลังทำร้ายร่างกาย: การกระทำเป็นความผิดสองกรรม
จำเลยใช้ขวดตีผู้เสียหายขณะนอนหลับจนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายผู้เสียหายพยายามลุกขึ้นนั่ง จำเลยเตะผู้เสียหายล้มลง เมื่อผู้เสียหายพยายามจะลุกขึ้นนั่งอีก จำเลยก็พูดว่า 'จะสู้หรือ' แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยทราบว่าปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้เสียหายมีกระสุนบรรจุอยู่ ที่กระสุนด้านไม่ระเบิดอาจเป็นเพราะกระสุนเสื่อมคุณภาพหรือเป็นเหตุบังเอิญประการอื่น หาเป็นการแน่แท้ว่าจะ ไม่สามารถทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายจากการยิงของจำเลย ไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตามมาตรา 288,80 จำเลยเพิ่งมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหลังจากทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายไปแล้ว เพราะเข้าใจว่าผู้เสียหายจะลุกขึ้นมาต่อสู้ ดังนั้น ที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายกับพยายามฆ่าผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำอันเป็นความผิดสองกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1527/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยหลายกรรมจากการทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า ศาลฎีกาอนุญาตให้เรียงกระทงได้หากโจทก์ประสงค์
ฟ้องว่าจำเลยใช้เหล็กแหลมเป็นอาวุธแทงทำร้ายร่างกาย ห.ถูกที่บริเวณอก และแทง ย. ถูกที่บริเวณท้อง จนลำไส้ทะลุโดยเจตนาฆ่าแต่ ห. และ ย. ไม่ถึงแก่ความตาย แต่เป็นเหตุให้ ห. และ ย. ได้รับอันตรายแก่กายขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 เห็นได้ว่า โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยเป็นสองกรรม ศาลฎีกาเรียงกระทงลงโทษจำเลยได้