พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดต้องสุจริต ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นได้ การอ้างพยานหลักฐานใหม่ในชั้นฎีกาไม่ชอบ
การที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่าโจทก์ผู้ซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งของศาลเป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทไว้หรือไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยสุจริตตามที่มาตรา1330แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้หรือไม่เป็นสำคัญดังนั้นเมื่อโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยการซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยชอบศาลอุทธรณ์ภาค2ก็ชอบที่จะวินิจฉัยว่าการซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลชั้นต้นของโจทก์กระทำโดยสุจริตหรือไม่ เมื่อคำเบิกความของโจทก์ในคดีอาญาตามที่จำเลยแนบมาท้ายฎีกาซึ่งมีใจความแสดงว่าโจทก์เป็นผู้ไม่สุจริตในการซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นพยานหลักฐานที่จำเลยเพิ่งอ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความไม่ใช่สภาพแห่งข้อหา ศาลต้องพิจารณาพยานหลักฐานตามประเด็นข้อพิพาท
อายุความไม่ใช่สภาพแห่งข้อหาโจทก์จึงไม่จำต้องกล่าวในฟ้องว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใดเมื่อฟ้องโจทก์ได้ระบุโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแล้วก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองคำสั่งของศาลที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการพิสูจน์ว่าจำเลยคือคนร้าย เนื่องจากผู้เสียหายไม่สามารถเห็นหน้าคนร้ายได้อย่างชัดเจน
ขณะผู้เสียหายซื้อมะม่วงโดยยืนหันหน้าเข้าหาแผงขายผลไม้คนร้ายเข้ามาทางด้านหลังของผู้เสียหายและเมื่อถอดสร้อยคอทองคำได้แล้วก็หันหลังวิ่งหนีไปผู้เสียหายจึงไม่มีโอกาสที่จะเห็นหน้าคนร้ายได้ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าเห็นหน้าคนร้ายจึงไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริงจำเลยเป็นคนงานรับจ้างอยู่ที่อู่ซ่อมรถและอ้างว่าเหตุที่ไม่ได้ไปสถานีตำรวจขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจไปนำคนงานในอู่มาที่สถานีตำรวจครั้งแรกเพราะจำเลยกำลังซักผ้ายังไม่เสร็จและเจ้าพนักงานตำรวจบอกให้เฝ้าอู่อยู่ก่อนหากจำเลยเป็นคนร้ายจริงเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจกลับไปแล้วเชื่อว่าจำเลยจะต้องหลบหนีคงไม่อยู่ให้เจ้าพนักงานตำรวจมาตามเป็นครั้งที่2เหตุที่จำเลยมิได้ไปกับเจ้าพนักงานตำรวจครั้งแรกหาได้เป็นข้อพิรุธที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายไม่พยานหลักฐานของโจทก์ที่สืบมายังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 37/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี: ปัญหาอายุผู้เสียหาย, พยานหลักฐาน, และการพิพากษาลงโทษ
แม้โจทก์ ไม่มีประจักษ์พยาน แต่ก็ มีคำรับสารภาพของจำเลยทั้ง ชั้นจับกุมและ สอบสวนซึ่งรับว่าได้ กระทำชำเรา ผู้เสียหายเมื่อฟังประกอบกับหลักฐานที่ฟังได้ว่าผู้เสียหายได้บอกว่าถูกจำเลยกระทำชำเราจริงแล้วจึง ฟังได้ว่าผู้เสียหายถูกจำเลยกระทำชำเราจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3607/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐาน – คำให้การชั้นสอบสวนมีน้ำหนักกว่าคำเบิกความในชั้นศาลเมื่อมีเหตุผลสนับสนุน
ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้ศาลฟังคำให้การชั้นสอบสวนประกอบการพิจารณาของศาลประจักษ์พยานโจทก์ให้การชั้นสอบสวนสอดคล้องกันเมื่อพิจารณาประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์อีกปากแล้วมีเหตุผลให้เชื่อว่าประจักษ์พยานดังกล่าวเห็นเหตุการณ์ดังที่ให้การไว้จริงการที่ประจักษ์พยานนี้มาเบิกความในชั้นศาลเป็นการบ่ายเบี่ยงเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดคำให้การชั้นสอบสวนเชื่อได้ว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3523/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำเบิกความ/ให้การที่ไม่เป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิด/ผู้ต้องหา มีน้ำหนักรับฟังได้เป็นพยานหลักฐาน
แม้ว่าในคดีความผิดฐานฆ่า ธ. ส. ถูกฟ้องว่าร่วมกับ ก.ฆ่า ธ. ผู้ตาย พนักงานสอบสวนได้กัน ก. เป็นพยาน และพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ก. ก็ตาม แต่ก็เป็นการกันเป็นพยานและสั่งไม่ฟ้องในคดีดังกล่าวเท่านั้นเมื่อคดีนี้ซึ่งเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนให้ ส. กับพวกฆ่า ธ. นั้นพนักงานสอบสวนหาได้กัน ก. เป็นพยานไม่ และพนักงานอัยการก็มิได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง ก. ด้วย ดังนั้นคำเบิกความของ ก. ในชั้นศาลคดีนี้จึงไม่ใช่คำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน และคำให้การของ ก. ในชั้นสอบสวนคดีนี้ก็มิใช่คำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ และศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของ ส. ในคดีความผิดฐานฆ่า ธ. ผู้ตายมาฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ความผิดของจำเลยคดีนี้ได้ เพราะถือว่าคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นพฤติเหตุแวดล้อมกรณี แม้มิได้นำ ส. มาเบิกความรับรองอีกก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3495/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง: ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท และการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งโอนขายให้แก่จำเลยที่ 5 และขอให้จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย การขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยที่ 5 นั้น มีผลให้โจทก์บังคับให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาเป็นของโจทก์ จึงเท่ากับเรียกร้องที่ดินนั้นมาจากจำเลยที่ 5 และให้โอนมาเป็นของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย แม้จะเป็นการขอให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยที่ 5 ก็ตาม แต่ผลแห่งการเพิกถอนนี้เป็นเหตุให้โจทก์ได้มาซึ่งที่ดิน-พิพาทในที่สุด จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เท่ากับราคาที่ดินที่ขอให้บังคับโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ ที่ดินพิพาทมีราคา 160,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำสัญญา-จะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 160,000 บาท ในขณะที่จำเลยดังกล่าวเป็นผู้เยาว์โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำนิติกรรมแทนโดยขออนุญาตทำนิติกรรมต่อศาลคดี-เด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้รับเงินค่าขายที่ดิน160,000 บาท จากโจทก์แล้ว จำเลยทั้งห้าฎีกาโต้เถียงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังแตกต่างกับที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังเป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำสัญญา-จะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 160,000 บาท ในขณะที่จำเลยดังกล่าวเป็นผู้เยาว์โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำนิติกรรมแทนโดยขออนุญาตทำนิติกรรมต่อศาลคดี-เด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้รับเงินค่าขายที่ดิน160,000 บาท จากโจทก์แล้ว จำเลยทั้งห้าฎีกาโต้เถียงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังแตกต่างกับที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังเป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3276/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลแรงงานวินิจฉัยจากคำรับของคู่ความได้หากพิจารณาพยานหลักฐานแล้ว การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม
ศาลแรงงานกลางมีอำนาจสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความประกอบเอกสารในวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ววินิจฉัยคดีตามที่คู่ความรับกันถือว่าได้ใช้ดุลพินิจพิเคราะห์ พยานหลักฐานในการรับฟังข้อเท็จจริงแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา104ประกอบพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา31การที่โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการใช้ดุลพินิจดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3221/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจมอบอำนาจแต่งตั้งทนายความ และการรับฟังพยานหลักฐานโดยฝ่าฝืนข้อกำหนด
หนังสือมอบอำนาจระบุให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจแต่งตั้งทนายความดำเนินคดีและแก้ต่างทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาแทนโจทก์ และมีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้บุคคลอื่นดำเนินการดังกล่าวได้ การมอบอำนาจให้แต่งตั้งทนายความดำเนินคดีนั้น ย่อมหมายความรวมถึงการฟ้องคดีหรือว่าต่างคดีด้วย เมื่อผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจที่จะมอบอำนาจช่วงได้ ป. และ ต. ผู้รับมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจ จึงมีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้ ว. ฟ้องจำเลยทั้งสองแทนโจทก์ได้
แม้โจทก์จะมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ อันเป็นการขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 88 ก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญ ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว ศาลก็มีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) เมื่อหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญในประเด็นแห่งคดี ศาลจึงมีอำนาจที่จะรับฟังเอกสารดังกล่าวได้
แม้โจทก์จะมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ อันเป็นการขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 88 ก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญ ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว ศาลก็มีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) เมื่อหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญในประเด็นแห่งคดี ศาลจึงมีอำนาจที่จะรับฟังเอกสารดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3221/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจมอบอำนาจช่วงฟ้องคดีและรับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ยื่นบัญชีรายชื่อพยาน
หนังสือมอบอำนาจระบุให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจแต่งตั้งทนายความดำเนินคดีและแก้ต่างทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาแทนโจทก์และมีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้บุคคลอื่นดำเนินการดังกล่าวได้การมอบอำนาจให้แต่งตั้งทนายความดำเนินคดีนั้นย่อมหมายความรวมถึงการฟ้องคดีหรือว่าต่างคดีด้วยเมื่อผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจที่จะมอบอำนาจช่วงได้ ป. และ ต. ผู้รับมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจจึงมีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้ ว. ฟ้องจำเลยทั้งสองแทนโจทก์ได้ แม้โจทก์จะมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้อันเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88ก็ตามแต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวศาลก็มีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)เมื่อหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญในประเด็นแห่งคดีศาลจึงมีอำนาจที่จะรับฟังเอกสารดังกล่าวได้