พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2237/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่เคยกล่าวอ้างในศาลอุทธรณ์ และการไม่ชัดเจนในการอ้างเหตุเพิกถอนการขายทอดตลาด
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 มิได้กล่าวว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ทราบวันขายทอดตลาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานประเมินราคาทรัพย์ได้ประเมินราคาทรัพย์พิพาทไม่เป็นธรรม ฎีกาจำเลยที่ 1 มิได้โต้เถียงว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยข้อกฎหมายอย่างไร จึงไม่ใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ถือเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งทั้งข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นฎีกาเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2237/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุจำเลยอุทธรณ์ฎีกาไม่ชัดเจน และไม่ได้ยกข้อเท็จจริงใหม่ในศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 มิได้กล่าวว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด จำเลยที่ 1ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ทราบวันขายทอดตลาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานประเมินราคาทรัพย์ได้ประเมินราคาทรัพย์พิพาทไม่เป็นธรรม ฎีกาจำเลยที่ 1 มิได้โต้เถียงว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยข้อกฎหมายอย่างไร จึงไม่ใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ถือเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งทั้งข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1ยกขึ้นฎีกาเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 216/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ต้องไม่รับวินิจฉัยหากเกินกรอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท หรือตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิคงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ไม่ฎีกา ข้อหาความผิดฐานรับของโจรจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนข้อหาความผิดฐานลักทรัพย์โจทก์อุทธรณ์โต้เถียงการรับฟังพยานหลักฐานโจทก์จำเลยของศาลชั้นต้นเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายที่ว่าการกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334หรือไม่ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ศาลอุทธรณ์หาอาจรับวินิจฉัยข้ออุทธรณ์ดังกล่าวของโจทก์ได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2009/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิฎีกาในคดีอาญา: ศาลไม่รับวินิจฉัยฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน กระทงละ 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิพากษาเกินคำขอเดิม และการวินิจฉัยประเด็นนอกคำคู่ความ
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยชำระเงินจำนวน350,000 บาทแก่โจทก์ โจทก์แก้อุทธรณ์ทำนองว่า ศาลมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 350,000 บาทได้ เท่ากับมีประเด็นในชั้นอุทธรณ์เกี่ยวกับการแบ่งสินสมรส เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาให้แบ่งสินสมรสตามคำขอบังคับในฟ้องได้เพราะเป็นการแก้ไขให้ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. ว่าด้วยคำพิพากษาที่จะต้องตัดสินตามฟ้องทุกข้อ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทแต่เพียงว่า จำเลยผิดสัญญาแบ่งทรัพย์สินสมรสหรือไม่ แม้จำเลยจะให้การว่าโจทก์ปิดบังซ่อนเร้นสินสมรสไว้จำนวนหนึ่งมีมูลค่ามากกว่าจำนวนเงิน 350,000 บาท ก็ตามแต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และจำเลยมิได้คัดค้านโต้แย้งจึงถือว่าไม่มีประเด็นแห่งคดีในเรื่องการเบียดบังซ่อนเร้นสินสมรส.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุจำเลยกับการลดโทษตามมาตรา 76 ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณา แม้ไม่ยกขึ้นในศาลชั้นต้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลยที่มีอายุกว่า 17 ปีแต่ยังไม่เกิน 20 ปี โดยลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่จำเลยกระทำลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์แล้ว หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุเพียง 17 ปีเศษ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ได้ แม้ปัญหานี้จะมิได้ว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ลดโทษจำเลยอายุ 17-20 ปี แม้มิได้ยกขึ้นในชั้นต้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลยที่มีอายุกว่า 17 ปีแต่ยังไม่เกิน 20 ปี โดยลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่จำเลยกระทำลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์แล้ว หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุเพียง 17 ปีเศษ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยได้แม้ปัญหานี้จะมิได้ว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องฎีกาต้องแสดงข้อโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ มิใช่เพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (13) จึงต้องแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา โดยต้องมีข้อโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อฎีกาโจทก์บรรยายเพียงว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาอย่างไรแต่มิได้บรรยายว่าคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาอย่างไร กรณีจึงไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์หรือไม่ ทั้งฎีกาโจทก์มีข้อความว่า "ด้วยความเคารพต่อศาลชั้นต้น โจทก์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังคลาดเคลื่อน... โจทก์ขอประทานกราบเรียนศาลที่เคารพโปรดพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น..." ดังนี้ฎีกาโจทก์มิได้เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากแต่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฟ้องฎีกาโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 ประกอบมาตรา 246,247 และ พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาฟ้องแย่งการครอบครอง 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 เป็นเรื่องอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้แม้จำเลยไม่ยกขึ้นเป็นประเด็น
กำหนดเวลาให้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 นั้น ไม่ใช่เรื่องอายุความแต่เป็นกำหนดเวลาสำหรับฟ้องเมื่อโจทก์ผู้ถูกแย่งการครอบครองไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ก็ย่อมเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่หลุดมือไปแล้วทันที ปัญหาข้อนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นประเด็นโดยตรงศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1592/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุจำเลยยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกา ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยก่อสร้างอาคารเพื่อใช้ในการพักอาศัยไม่มีเจตนาเพื่อใช้ประกอบพาณิชยกรรมเป็นความผิดตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง ลงโทษตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง และมาตรา 40วรรคหนึ่ง ลงโทษตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง และมาตรา 40 วรรคหนึ่ง ลงโทษตามมาตรา 67 แห่ง พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 เท่านั้น ส่วนในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องมิใช่เป็นการก่อสร้างอาคารเพื่อใช้ประกอบพาณิชยกรรม ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นฎีกาดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาที่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยไว้ ถือไม่ได้ว่าฎีกาดังกล่าวเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 ทั้งมิได้เป็นข้อความที่ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินไว้ จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย