คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1874/2564

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉ้อโกง, ประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้ชื่อทางการเงินโดยมิชอบ
แม้การหลอกลวงของจำเลยทั้งสี่ตามฟ้องเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการต่อไป แต่การดำเนินการดังกล่าวได้เริ่มขึ้นแล้วด้วยการที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแสดงโครงการออกโฆษณาต่อประชาชนอันเป็นความเท็จ ซึ่งเชื่อมโยงกับที่จำเลยทั้งสี่จะดำเนินการต่อไป กรณีถือว่าเป็นการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแล้ว ฟ้องโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันจัดตั้งกองทุนออมทรัพย์ อ. โดยวิธีการฝากเงิน ซึ่งมี 3 ประเภท คือ ฝากเงินแบบขอรับเงินปันผลกำไร (มูฎอรอบะห์) ฝากเงินแบบรักษาทรัพย์ (วาดีอะห์) ไม่มีส่วนร่วมเงินปันผล ฝากเงินเพื่อฮัจญ์และอุมเราะห์ โดยกองทุนออมทรัพย์ อ. จะนำเงินของสมาชิกไปลงทุนทำธุรกิจตามโครงการที่โฆษณาไว้ แล้วจะแบ่งปันผลกำไรหรือผลตอบแทนให้แก่สมาชิกที่ฝากเงินลงทุนดังกล่าว ซึ่งการรับฝากเงินดังกล่าวเป็นการประกอบธุรกิจรับฝากเงินตามความหมายคำนิยามคำว่า ธุรกิจเงินทุน ของมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 แล้ว เมื่อกองทุนออมทรัพย์ อ. ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล และไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบธุรกิจเงินทุน การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดฐานร่วมกันประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งองค์ประกอบความผิดของมาตรา 12 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 มิได้บัญญัติไว้ว่าผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนาทุจริต เพียงแต่บัญญัติห้ามผู้ใดนอกจากสถาบันการเงินใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อในธุรกิจทางการเงินว่า ธนาคาร เงินทุน การเงิน การลงทุน เครดิต ทรัสต์ ไฟแนนซ์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกันเท่านั้น เมื่อกองทุนออมทรัพย์ อ. มิใช่สถาบันการเงิน และคำว่า กองทุนออมทรัพย์ เป็นคำอื่นที่มีความหมายเช่นเดียวกับธนาคาร เงินทุน การลงทุน การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ชื่อกองทุนออมทรัพย์ อ. จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อในธุรกิจทางการเงิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2564

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่นเจ้าพนักงาน: ถ้อยคำสบประมาททำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย
การดูหมิ่นอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 136 หมายถึง การด่า ดูถูกเหยียดหยาม สบประมาท หรือทำให้อับอาย การวินิจฉัยว่าการกล่าววาจาอย่างไรเป็นการดูหมิ่นผู้อื่นหรือไม่ จึงต้องพิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวถึงอับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว
พันตำรวจเอก ส. โจทก์ร่วม เรียกจำเลยกับพวกไปสอบถามถึงเหตุที่แจ้งความให้ดำเนินคดีแก่คนร้ายที่ร่วมกันปล้นรถยนต์ ซึ่งได้ความว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีชื่อ ส. เป็นผู้ครอบครองมิใช่จำเลย โจทก์ร่วมจึงให้ ส. เป็นผู้ให้ข้อเท็จจริง ส. แจ้งว่าวันเกิดเหตุพนักงานของบริษัทผู้ให้เช่าชื้อมายึดรถยนต์ของตน เป็นเหตุให้จำเลยเกิดความไม่พอใจกล่าวต่อโจทก์ร่วมว่า "ผู้กำกับเหลี่ยมใส่เราแล้ว" ทั้งที่การปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ร่วมเป็นไปตามขั้นตอนการทำงานตามปกติ เพราะก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะรับแจ้งความเรื่องใดย่อมต้องสอบถามข้อเท็จจริงให้ได้ความชัดแจ้งว่ามีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้นเสียก่อน เพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนไม่ให้เกิดการกลั่นแกล้งกันโดยการนำเอาความเท็จมาแจ้ง ที่จำเลยพูดกับโจทก์ร่วมด้วยถ้อยคำดังกล่าวอันหมายถึงโจทก์ร่วมใช้เล่ห์เหลี่ยมไม่รับแจ้งความตามที่ ส. แจ้ง ทำให้ผู้ที่ได้ยินเข้าใจว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าพนักงานตำรวจใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่สุจริต ถ้อยคำดังกล่าวจึงมิใช่เป็นเพียงคำกล่าวที่ไม่สุภาพและไม่สมควรเท่านั้น แต่เป็นการกล่าวถ้อยคำสบประมาทโจทก์ร่วมซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ เป็นการดูหมิ่นโจทก์ร่วมอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 136

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1196/2564

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำโดยบันดาลโทสะต้องต่อเนื่องกับเหตุข่มเหง หากขาดตอนหรือไม่ต่อเนื่อง จะไม่ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษ
การกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72 เป็นการกระทำที่ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นคือ ในระยะเวลาต่อเนื่องที่ตนยังมีโทสะอยู่
เมื่อโจทก์ร่วมที่ 1 และ ท. ทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 เดินกลับบ้าน เชื่อว่าระหว่างที่จำเลยที่ 1 เดินกลับบ้านและก่อนที่จำเลยที่ 2 จะออกจากบ้านไปร้านที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 สามารถระงับสติอารมณ์ทำให้โทสะหมดสิ้นไปแล้วและกลับมามีสติสัมปชัญญะดีเหมือนเดิม การที่จำเลยที่ 1 ตามจำเลยที่ 2 ไปร้านที่เกิดเหตุแล้วใช้อาวุธปืนของกลางยิงโจทก์ร่วมที่ 1 หลังจากจำเลยที่ 2 พูดสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจำเลยที่ 1 จากโจทก์ร่วมที่ 1 และโจทก์ร่วมที่ 1 มีท่าทางเกรี้ยวกราดมากขึ้นและชี้หน้าพร้อมพูดว่า กูรู้ว่าใครร้องเรียน แล้วทำท่าทางลักษณะคล้ายล้วงอาวุธปืนออกมาจากกระเป๋าสะพายสีน้ำตาล เชื่อได้ว่าเป็นการตัดสินใจเฉพาะหน้าของจำเลยที่ 1 ในทันที หาใช่เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกระชั้นชิดกับที่จำเลยที่ 1 ยังมีโทสะอยู่ไม่ แต่เป็นเหตุการณ์ที่ขาดตอนไปแล้ว จำเลยที่ 1 จะอ้างว่ากระทำโดยบันดาลโทสะไม่ได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนของกลางยิงโจทก์ร่วมที่ 1 แต่โจทก์ร่วมที่ 1 ไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1194/2564

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ชี้ว่าจำเลยกระทำความผิดจริง ศาลฎีกายกฟ้องและยกคำขอชดใช้ค่าเสียหาย
ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร ตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคสาม ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยในความผิดฐานนี้จึงเป็นการขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว อย่างไรก็ตามเมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์แล้วเห็นว่ายังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 หรือไม่ และยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลย ศาลฎีกาก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยในข้อหาความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ดูแลเพื่อการอนาจารด้วยเพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 910/2567

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานพนันออนไลน์: การลงโทษฐานกรรมเดียว และการพิจารณารอการลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสิบหกร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนผู้อื่นให้เข้าเล่นการพนันบาการา สล๊อทแมชีน สลากกินรวบ และทายผลฟุตบอลออนไลน์ บนเว็บไซต์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์และเฟซบุ๊ก พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตรวมกันมาในข้อเดียวกัน ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ปรากฎชัดเจนว่าจำเลยทั้งสิบหกร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้เล่นการพนันแต่ละประเภทแยกต่างหากออกจากกันเป็นแต่ละกรรมต่างกัน ทั้งคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้อ้าง ป.อ. มาตรา 91 มาด้วย แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบหกฐานร่วมกันประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันหลายประเภทตามที่กล่าวในฟ้องเป็นความผิดกรรมเดียวกัน และต้องถือตามคำฟ้องของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสิบหกมีเจตนาเดียวจึงเป็นการกระทำกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2567

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉ้อโกงทางคอมพิวเตอร์และการกระทำเป็นกรรมเดียว
คดีนี้แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกการกระทำผิดของจำเลยกับพวกมาเป็นข้อ ๆ โดยมีคำขอท้ายฟ้องตาม ป.อ. มาตรา 91 และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีจากข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้วปรากฏว่า จำเลยกับพวกมีเจตนาประการเดียวคือมุ่งประสงค์ที่จะหลอกลวงผู้เสียหายที่ 3 โอนเงินชำระค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 ตกลงสั่งซื้อนั้นเอง ความผิดฐานร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ฐานร่วมกันแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ฐานโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นฐานร่วมกันปลอมเอกสารและฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอม จึงเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตาม ป.อ. มาตรา 90 หาใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ตามที่โจทก์อ้างในฎีกา
ส่วนปัญหาที่ว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานหนักหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวโจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยมิชอบในศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่งและมาตรา 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 858/2567

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกฟ้องแม้คดีมีมูลเดิม หากพิจารณาแล้วไม่เป็นความผิด
แม้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ซึ่งหมายถึงคู่ความไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้มีมูลได้ แต่เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยตามทางไต่สวนมูลฟ้องไม่เป็นความผิดแล้ว ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ได้
คดีนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้องเฉพาะข้อหารับของโจร เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์โจทก์ในส่วนความผิดข้อหาลักทรัพย์กับข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าผู้ตายและจำเลยร่วมกันลักโฉนดที่ดินทั้งสี่แปลง และรับฟังไมได้ว่ามีการลักสมุดเช็คตามฟ้องเกิดขึ้น ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมหรือสนับสนุนผู้ตายลักทรัพย์ในวัตถุแห่งการกระทำเดียวกัน ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายในส่วนความผิดข้อหารับของโจรว่าที่จำเลยครอบครองโฉนดที่ดินและสมุดเช็คดังกล่าวต่อมาย่อมไม่เป็นความผิด เพราะความผิดฐานข้อหาของโจรตามฟ้องต้องเกิดขึ้นภายหลังการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่ศาลอุทธรณ์ชอบที่ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ไม่เป็นการขัดต่อมาตรา 170 และไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นดังที่โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2567

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำที่ไม่ถึงขั้นเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหรือนำสืบพยานหลักฐานเท็จ ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
การกระทำความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาผู้กระทำจะต้องมีการนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะทนายความโจทก์ ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 มิใช่การนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี แต่เป็นอำนาจที่จำเลยที่ 2 กระทำได้ตามที่โจทก์มอบหมายไว้ในใบแต่งทนายความ หากการกระทำของจำเลยที่ 2 ฝ่าฝืนความประสงค์ของโจทก์ และทำให้โจทก์เสียหายอย่างไร ก็ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่มีมูลความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4410/2567

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับสภาพหนี้และการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค การสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ที่บังคับได้
หนังสือรับสภาพหนี้มีข้อความชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ 467,000 บาท จำเลยยอมชำระหนี้ดังกล่าวโดยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยและโจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือดังกล่าวด้วย หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวจึงถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่โจทก์สามารถนำไปฟ้องร้องให้จำเลยรับผิดทางแพ่งได้โดยตรง การที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมตามหนังสือรับสภาพหนี้จึงเป็นการสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค เนื่องจากลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขที่ให้ไว้แก่ธนาคารโดยจำเลยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3471/2567

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาหลังผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนย้าย และการแก้ไขคำพิพากษาฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นมิได้มีคำพิพากษาไปในทันทีเนื่องจากจำเลยประสงค์จะหาเงินมาชดใช้ให้แก่โจทก์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเดิมจึงอนุญาตให้เลื่อนคดีไปนัดฟังผลการชำระหนี้และหรือนัดฟังคำพิพากษา ดังนี้ วันนัดพิจารณาที่เลื่อนมาดังกล่าวจึงมิใช่การนัดฟังคำพิพากษาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการนัดฟังผลการชำระหนี้ด้วย ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องสอบถามโจทก์และจำเลยเสียก่อนว่าได้มีการชำระหนี้ให้แก่กันไปแล้วมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้เพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจของศาลชั้นต้นหากจะมีคำพิพากษาว่าสมควรลงโทษจำเลยหนักเบาเพียงใด หรือควรให้โอกาสจำเลยผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ต่อไปด้วยการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป คดีจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 28 มิใช่การพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นเสร็จสิ้นแล้วและอยู่ในระหว่างการทำคำพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 29 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนถึงวันนัดฟังผลการชำระหนี้และหรือนัดฟังคำพิพากษาที่เลื่อนมา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเดิมย้ายไปรับราชการที่ศาลอื่น จึงเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป ซึ่งตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 28 (3) ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรือผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนั้นซึ่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมอบหมายนั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้ เมื่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมอบหมายให้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคนใหม่นั่งพิจารณาคดีแทนแล้ว ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคนใหม่จึงมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาและทำคำพิพากษาได้
of 682