คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สุจริต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,168 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3235/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นเรื่องการทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และการชำระหนี้โดยสุจริต
ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(1) บัญญัติว่า คำสั่งเรื่องล้มละลายอาจใช้ยันบุคคลภายนอกได้นั้น ต้องพิจารณาประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 28 ซึ่งบัญญัติให้มีการประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา และในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ ในมาตรานี้มิได้บัญญัติไว้ด้วยว่า เมื่อได้มีการประกาศโฆษณาดังกล่าวแล้วให้ถือว่าบุคคลภายนอกทุกคนต้องทราบ จึงจะถือว่าบุคคลภายนอกที่ไม่ทราบ ได้ทราบคำสั่งนั้นแล้ว ย่อมไม่เป็นธรรม แต่ตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรานี้อนุมานได้ว่าประสงค์จะให้การประกาศโฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาเป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า บุคคลภายนอกทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดที่ได้ประกาศโฆษณานั้นแล้ว ฉะนั้น เมื่อผู้ใดอ้างว่าตนไม่ทราบก็ย่อมนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนี้ได้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยซึ่งเป็นข้าราชการกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ไปให้กระทรวงการคลังทราบ โดยระบุว่ามีอาชีพค้าขายหัวหน้ากองกลางผู้ได้รับประกาศนั้นไม่รู้จักจำเลย จึงได้สั่งให้รวมเก็บ และทางปฏิบัติเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งประกาศเกี่ยวกับลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์ไปให้กระทรวงการคลังทุกราย ไม่ว่าลูกหนี้นั้นจะเป็นข้าราชการหรือไม่ ในพฤติการณ์ดังกล่าว กรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังอาจนำสืบแสดงว่าตนไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดนั้นได้
กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ได้จ่ายเงินสะสมพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่จำเลยซึ่งลาออกจากราชการไป โดยไม่ทราบว่าจำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนวันจ่ายเงิน ย่อมต้องถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยสุจริต จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (วรรคแรกและวรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 30/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3118/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินโดยสุจริตหลังประกาศให้พิสูจน์สิทธิ และเจตนาความผิดทางอาญา
เพื่อดำเนินการตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ให้จัดการสำรวจป่าไม้หรือที่สงวนหวงห้ามซึ่งมีราษฎรบุกรุกเข้าไปทำกิน แล้วพิจารณาว่าที่แห่งใดสมควรถอนการสงวนให้ราษฎรทำกินต่อไป ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ใดถอนการสงวนไม่ได้ ควรผ่อนผันให้ราษฎรทำกินต่อไปโดยวิธีการเช่า หรือตามระเบียบที่จะควบคุมไม่ให้เกิดความเสียหาย และถ้าจำเป็นจะต้องให้ราษฎรที่บุกรุกออกจากที่สงวนนั้น ก็ให้นิคมสร้างตนเองรับเป็นสมาชิก ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงออกประกาศให้ผู้อ้างสิทธิว่าเป็นเจ้าของที่ดินในที่ดินสาธารณประโยชน์หรือที่สงวนหวงห้าม"เหล่าหนองโน" ไปยื่นคำร้องขอพิสูจน์สิทธิต่อนายอำเภอท้องที่ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2513จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดิน"เหล่าหนองโน" อยู่ก่อนแล้ว เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศดังกล่าว ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่านับตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2513 เป็นต้นไป จำเลยครอบครองที่ดินตามฟ้องโดยชอบโดยทางราชการผ่อนผันให้ครอบครองไปจนกว่าทางราชการจะพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นจะต้องให้จำเลยออกจากที่ดินและแจ้งให้ออกแล้ว ดังนั้น แม้ต่อมานายอำเภอได้แจ้งให้จำเลยออกไปจากที่ดินนั้น โดยอ้างว่า การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินนั้นก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่สาธารณชน จำเลยทราบคำสั่งแล้วไม่ออกไป ก็ไม่เป็นการจงใจฝ่าฝืนกฎหมายหรือคำสั่งของนายอำเภอ การกระทำของจำเลยตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2513 เป็นต้นมาจึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 และประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9 แต่การบังอาจยึดถือที่ดินนี้ตั้งแต่ก่อนวันที่28 กรกฎาคม 2513 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 108 และมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(5) โจทก์ฟ้องเมื่อเกิน 1 ปีแล้ว จึงลงโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2844/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เครื่องหมายการค้าเหมือนหรือคล้ายกันทำให้ประชาชนหลงผิด แม้ต่างจำพวกสินค้า ผู้ใช้สิทธิไม่สุจริตต้องรับผิด
โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า TELLME อยู่ภายในวงรีสำหรับสินค้าจำพวก 48 ทั้งจำพวก ได้แก่ เครื่องหอม เครื่องสำอางโดยโจทก์ได้คิดประดิษฐ์ขึ้นใช้กับสินค้าของโจทก์ไว้ก่อน ต่อมาจำเลยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า TELLME สำหรับสินค้าจำพวก 38 ทั้งจำพวก ได้แก่ เครื่องนุ่งห่มและแต่งกายเครื่องหมายการค้าของโจทก์จำเลยเป็นคำประดิษฐ์ใช้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นอักษรโรมันคำเดียวกัน ต่างกันแต่เพียงว่าของโจทก์เป็นตัวเขียน ของจำเลยเป็นตัวพิมพ์ แม้ของโจทก์จะอยู่ในวงกลมรูปรีของจำเลยไม่มีเส้นกรอบ ก็หาใช่เป็นข้อแตกต่างที่เห็นเด่นชัดอย่างใด ไม่สำเนียงที่เรียกขานไม่ว่าจะเป็นตัวพิมพ์หรือตัวเขียนก็อ่านว่า 'เทลมี'อย่างเดียวกัน และปรากฏว่าสินค้าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นที่แพร่หลาย โจทก์ได้แพร่ภาพโฆษณาทางโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เอกสารสิ่งพิมพ์และกระจายเสียงทางวิทยุซึ่งจำเลยมิได้ทำเลย ดังนี้ถือว่าเครื่องหมายการค้าทั้งสองมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกันอันอาจทำให้ประชาชนหลงผิด แม้จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยในสินค้าต่างจำพวกกับสินค้าของโจทก์ ซึ่งใช้เครื่องหมายการค้านั้นอยู่ก่อนแล้ว ก็ย่อมทำให้โจทก์เสียหายเพราะผู้ซื้อหรือใช้สินค้าอาจหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์ผลิตขึ้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์มีสิทธิห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2798/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตอบโต้ข้อความใส่ร้ายเพื่อปกป้องชื่อเสียง มิอาจถือเป็นการหมิ่นประมาท
จำเลยเป็นผู้แทนจำหน่ายหนังสือพิมพ์ของโจทก์ร่วม หนังสือพิมพ์ของโจทก์ร่วมได้ลงพิมพ์โฆษณาข้อความทำนองว่า จำเลยค้างชำระหนี้สินเป็นจำนวนมาก เป็นผู้ถ่วงเวลาการชำระเงินและมีมารยาทไม่ดีเป็นข้อความที่เห็นได้ว่าอาจเกิดความเสื่อมเสียแก่ฐานะของจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าได้ จำเลยจึงลงพิมพ์โฆษณาข้อความโต้ตอบในหนังสือพิมพ์มีใจความตอนแรกแสดงถึงจำนวนหนี้สินที่ค้างชำระระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยว่ามีไม่มาก และต่อมาก็เป็นข้อความว่าโจทก์ร่วม เช่นว่าโจทก์ร่วมมีเจตนาไม่ดี ใช้คำพูดแข็งแกร่ง ไร้เหตุผลเป็นบุคคลต่ำต้อย เหี้ยมเกรียมชั่วร้ายต่อผู้แทน เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ มีวิธีการเลวทรามต่ำช้าไร้มารยาทและไม่มีจรรยาทางหนังสือพิมพ์ ดังนี้ เป็นข้อความที่ตอบโต้เพื่อให้ผู้ที่รู้เห็นได้เข้าใจว่า ผู้ที่กล่าวหาจำเลยเสียหายนั้นเป็นบุคคลที่ไม่ควรเชื่อถือ เป็นการกระทำที่ป้องกันความเสียหายของจำเลยโดยตรง และพฤติการณ์ได้เป็นไปโดยการโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ เฉพาะในเรื่องที่จำเลยถูกกล่าวหาภายหลังจากโจทก์ร่วมได้โฆษณากล่าวหาจำเลยแล้ว จึงเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อป้องกันตนตามคลองธรรม จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2798/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้ตอบข้อความหมิ่นประมาทเพื่อป้องกันตนเอง ถือเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
จำเลยเป็นผู้แทนจำหน่ายหนังสือพิมพ์ของโจทก์ร่วม หนังสือพิมพ์ของโจทก์ร่วมได้ลงพิมพ์โฆษณาข้อความทำนองว่า จำเลยค้างชำระหนี้สินเป็นจำนวนมาก เป็นผู้ถ่วงเวลาการชำระเงินและมีมารยาทไม่ดีเป็นข้อความที่เห็นได้ว่าอาจเกิดความเสื่อมเสียแก่ฐานะของจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าได้ จำเลยจึงลงพิมพ์โฆษณาข้อความโต้ตอบในหนังสือพิมพ์มีใจความตอนแรกแสดงถึงจำนวนหนี้สินที่ค้างชำระระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยว่ามีไม่มาก และต่อมาก็เป็นข้อความว่าโจทก์ร่วม เช่นว่าโจทก์ร่วมมีเจตนาไม่ดี ใช้คำพูดแข็งแกร่ง ไร้เหตุผลเป็นบุคคลต่ำต้อย เหี้ยมเกรียมชั่วร้ายต่อผู้แทนเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ มีวิธีการเลวทรามต่ำช้า ไร้มารยาทและไม่มีจรรยาทางหนังสือพิมพ์ ดังนี้ เป็นข้อความที่ตอบโต้เพื่อให้ผู้ที่รู้เห็นได้เข้าใจว่า ผู้ที่กล่าวหาจำเลยเสียหายนั้นเป็นบุคคลที่ไม่ควรเชื่อถือ เป็นการกระทำที่ป้องกันความเสียหายของจำเลยโดยตรง และพฤติการณ์ได้เป็นไปโดยการโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ เฉพาะในเรื่องที่จำเลยถูกกล่าวหาภายหลังจากโจทก์ร่วมได้โฆษณากล่าวหาจำเลยแล้ว จึงเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริต เพื่อป้องกันตนตามคลองธรรม จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2367/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายรถยนต์โดยสุจริต ผู้ซื้อยอมคืนรถให้เจ้าของที่แท้จริง ถือว่าขาดอายุความฟ้อง
โจทก์จำเลยต่างมีอาชีพรับซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ จำเลยรับโอนรถคันพิพาทมาจาก ส. ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของตามทะเบียนแล้วโจทก์ได้ซื้อรถนั้นจากจำเลย ต่อมาปรากฏว่า ส. ได้ยักยอกรถคันนี้มาจากเจ้าของอันแท้จริง และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มายึดรถจากโจทก์ไปคืนให้เจ้าของอันแท้จริง โจทก์ยอมมอบให้ไป และว่าจะไปทวงถามเอาจากจำเลยเองเช่นนี้ ถือว่าโจทก์ผู้ซื้อยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481 แล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยให้ชำระราคารถคืนเกินกว่า 3 เดือนนับแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดเอารถยนต์ไปคดีโจทก์ย่อมขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2151-2152/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำตามคำสั่งเจ้าพนักงานโดยสุจริตและผลกระทบต่อความรับผิดในความเสียหาย
จำเลยกับพวกได้ทำทำนบปิดกั้นน้ำเพื่อให้ราษฎรมีน้ำใช้ในการทำนา โดยได้รับคำสั่งจากนายอำเภอให้ทำ ซึ่งจำเลยกับพวกได้กระทำไปโดยสุจริต เชื่อว่าเป็นคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกได้กระทำไปเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์เมื่อทำทำนบแล้ว น้ำได้ท่วมข้าวในนาของโจทก์เสียหาย ดังนี้จำเลยหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 449 แต่โจทก์อาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลผู้ให้คำสั่งโดยละเมิดนั้นได้ตามบทบัญญัติในมาตราดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2151-2152/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำตามคำสั่งเจ้าพนักงานโดยสุจริตและผลกระทบต่อความรับผิดทางละเมิด
จำเลยกับพวกได้ทำทำนบปิดกั้นน้ำเพื่อให้ราษฎรมีน้ำใช้ในการทำนาโดยได้รับคำสั่งจากนายอำเภอให้ทำ ซึ่งจำเลยกับพวกได้กระทำไปโดยสุจริต เชื่อว่าเป็นคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกได้กระทำไปเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ เมื่อทำทำนบแล้ว น้ำได้ท่วมข้าวในนาของโจทก์เสียหาย ดังนี้ จำเลยหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 449 แต่โจทก์อาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลผู้ให้คำสั่งโดยละเมิดนั้นได้ตามบทบัญญัติในมาตราดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 133/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีฐานเบิกความเท็จต้องไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต หรือจงใจให้ผู้อื่นเสียหาย
การฟ้องคดีต่อศาลนั้นตามปกติย่อมเป็นการกระทำโดยชอบเพราะเป็นการที่จำเลยใช้สิทธิของตนทางศาลอันเป็นสิ่งที่กฎหมายอนุญาต การใช้สิทธิเช่นนี้ไม่เป็นการผิดกฎหมายแต่อย่างใด เว้นไว้แต่จะปรากฏว่าจำเลยกระทำไปโดยไม่สุจริต มิได้หวังผลอันเป็นธรรมดาแห่งการใช้สิทธิทางศาล หากแต่จงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง
(อ้างคำพิพากษาที่ 146/2480)
จำเลยฟ้องโจทก์ฐานเบิกความเท็จเพราะโจทก์เบิกความในคดีก่อนสองครั้งชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์เบิกความว่าได้ยื่นคำขอจดทะเบียน (เครื่องหมายการค้า) เพิ่มเติมอีกเป็นชุดได้รับอนุญาตแล้ว ซึ่งความจริงทางราชการยังไม่ได้รับจดทะเบียนให้ ส่วนชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความว่ายังไม่ได้รับจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายชุด คำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวมีมูลให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์เบิกความเท็จ มิใช่เป็นการปั้นเรื่องขึ้นฟ้องแม้ศาลจะพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่าคำเบิกความของโจทก์มิใช่ข้อสำคัญในคดีและเป็นคำบอกเล่ามา แต่คำเบิกความของโจทก์จะเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันจำเลยอาจเห็นว่าเป็นข้อสำคัญในคดีก็ได้เมื่อโจทก์จำเลยอ้างแต่สำนวนคดีอาญาเป็นพยาน ย่อมไม่พอที่จะให้เห็นว่าการที่จำเลยฟ้องโจทก์ฐานเบิกความเท็จนั้น เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอันจะเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 634/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินโดยสุจริต: เจ้าของที่ดินฟ้องรื้อถอนมิได้ แต่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเฉพาะส่วนรุกล้ำ
การสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริต หมายความว่า ผู้สร้างต้องรู้ในขณะสร้างว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของผู้อื่น หากเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนและสร้างโรงเรือนรุกล้ำไปครั้นภายหลังจึงทราบความจริง ถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต
ครัวเป็นส่วนหนึ่งของอาคารโรงเรือน การสร้างครัวรุกล้ำที่ดินของผู้อื่น ย่อมเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นตามกฎหมาย การสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ผู้สร้างย่อมเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้นตามกฎหมาย เจ้าของที่ดินที่ถูกรุกล้ำไม่อาจฟ้องบังคับให้ผู้สร้างรื้อถอนโรงเรือนได้ แม้ผู้สร้างจะมิได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับเจ้าของที่ดินนั้นให้จดทะเบียนภารจำยอมก็ตาม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 เฉพาะโรงเรือนที่สร้างรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นเท่านั้นที่ได้รับความคุ้มครองสิ่งอื่น ๆ ที่มิใช่โรงเรือน หาได้รับความคุ้มครองด้วยไม่
of 117