คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทำร้ายร่างกาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,834 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กำลังป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุของเจ้าพนักงาน การใช้อาวุธปืนทำร้ายผู้ที่ไม่มีอาวุธ
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่จับกุม พ. เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน ระหว่างทางผู้เสียหายกับพวกรุมทำร้าย พ. ครั้นจำเลยห้ามปรามผู้เสียหายกลับชกจำเลยล้มลง จำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส เมื่อฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายมีอาวุธ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย นับได้ว่าเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 69

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3030/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย และการไม่เข้าข้อยกเว้นบันดาลโทสะ
จำเลยใช้ขวานด้ามยาว 80 เซนติเมตร หน้าขวานกว้าง 10เซนติเมตร ฟันศรีษะผู้ตายที่บริเวณเหนือหูซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญอย่างแรงจนกะโหลกศรีษะแตก สมองบวมโลหิตไหลจนแพทย์ไม่สามารถห้ามโลหิตได้ ดังนี้ฟังได้ว่าจำเลยฟันโดยเจตนาฆ่าที่จำเลยไม่ฟันซ้ำเมื่อผู้ตายล้มลงและอุ้มผู้ตายไปรอขึ้นรถไปโรงพยาบาลนั้นเป็นเหตุการณ์หลังจากจำเลยฟันผู้ตายแล้วเป็นการกระทำไปโดยสำนึกในความผิดที่ทำไปแล้วหาทำให้การกระทำของจำเลยที่กระทำก่อนหน้านั้นซึ่งเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย กลับเป็นการกระทำที่ขาดเจตนาฆ่าผู้ตายไม่
จำเลยเชื่อว่าต้นสะแบงที่ผู้ตายตัดมาไว้ที่นาของผู้ตายเป็นของจำเลยจึงเข้าไปพูดกับผู้ตาย ผู้ตายไม่ยอมรับว่าต้นสะแบงดังกล่าวตัดมาจากที่ดินของจำเลย และผู้ตายพูดกับจำเลยว่า 'มึงจะไปที่ไหนก็ไป กูไม่กลัวมึงหรอก' จำเลยจึงใช้ขวานฟันผู้ตาย ถือไม่ได้ว่าขณะจำเลยจะใช้ขวานฟันผู้ตาย จำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2970/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน สิทธิการเป็นโจทก์ร่วมและการอุทธรณ์
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ และร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองจนได้รับอันตรายสาหัส ผู้เสียหายทั้งสองเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง พนักงานอัยการไม่อุทธรณ์ แต่โจทก์ร่วมทั้งสองอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ร่วมกับพวกได้กลุ้มรุมทำร้ายจำเลย และจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสทั้งสองคน เป็นเรื่องวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ถือว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายไม่มีสิทธิเข้าเป็นโจทก์ร่วม และไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาย่อมพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2802/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธจนเป็นอันตรายสาหัส ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม ไม่รับฟังเหตุบันดาลโทสะและข้อต่อสู้เรื่องการชุลมุน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222
เหตุเกิดขึ้นเพราะฝ่ายโจทก์ร่วมกับจำเลยทะเลาะวิวาทด่าว่าแล้วท้าทายกัน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วม จึงไม่ใช่ลักษณะที่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
โจทก์ร่วมถูกฟันด้วยมีด มีบาดแผลฉีกขาด ขอบเรียบที่ต้นแขนปลายแขน ส่วนบนและบริเวณข้อมือขวารวม 3 แห่งขนาดบาดแผลยาว 5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อแขนและตัดผ่านประสาทที่ไปเลี้ยงแขนต้องรักษาตัว 2 เดือนเศษจึงหายเป็นปกติแต่ทำงานหนักไม่ได้ ลักษณะบาดเจ็บของโจทก์ร่วมดังกล่าวถึงอันตรายสาหัสต้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 (8) แล้ว
โจทก์ร่วมวิ่งตามนาง พ. ไปเห็นจำเลยตบหน้านาง พ. แล้วเงื้อมีดดาบจะฟัน โจทก์ร่วมจึงผลักนาง พ. ให้พ้นทางไป ขณะนั้นเองจำเลยก็ฟันถูกโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้งลักษณะการทำร้ายของจำเลยดังกล่าวมิใช่เนื่องในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2802/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธอันตราย ศาลยืนตามข้อวินิจฉัยศาลอุทธรณ์เรื่องบาดแผลสาหัสและเหตุบันดาลโทสะ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222
เหตุเกิดขึ้นเพราะฝ่ายโจทก์ร่วมกับจำเลยทะเลาะวิวาทด่าว่าแล้วท้าทายกัน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ลักษณะที่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
โจทก์ร่วมถูกฟันด้วยมีด มีบาดแผลฉีกขาด ขอบเรียบที่ต้นแขน ปลายแขน ส่วนบนและบริเวณข้อมือขวารวม 3 แห่งขนาดบาดแผลยาว 5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อแขนและตัดผ่านประสาทที่ไปเลี้ยงแขนต้องรักษาตัว 2 เดือนเศษ จึงหายเป็นปกติแต่ทำงานหนักไม่ได้ ลักษณะบาดเจ็บของโจทก์ร่วมดังกล่าวถึงอันตรายสาหัสต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) แล้ว
โจทก์ร่วมวิ่งตามนาง พ.ไปเห็นจำเลยตบหน้านางพ. แล้วเงื้อมีดดาบจะฟัน โจทก์ร่วมจึงผลักนาง พ. ให้พ้นทางไป ขณะนั้นเองจำเลยก็ฟันถูกโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้งลักษณะการทำร้ายของจำเลยดังกล่าวมิใช่เนื่องในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2426/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตายและพยายามฆ่า ถือเป็นตัวการร่วมกัน
การที่จำเลยทั้งสองร่วมกับพวกพากันไปทำร้ายพนักงานขับรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพที่มีเรื่องกับพวกของจำเลย เมื่อพบผู้ตายและผู้เสียหายซึ่งแต่งเครื่องแบบพนักงานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพก็ร่วมกันเข้าทำร้ายทันที แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ได้แทงผู้ตายและผู้เสียหาย ก็ถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการในการแทงทำร้ายด้วยเพราะจำเลยทั้งสองกับพวกมีเจตนาร่วมกันมาแต่แรก ไม่ใช่กรณีต่างคนต่างทำร้ายโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน
ผู้ตายถูกแทงมีบาดแผลที่บริเวณสีข้างซ้ายทะลุเข้าช่องท้องถูกลำไส้เล็ก ม้ามและกระเพาะอาหารทะลุ มีโลหิตตกในช่องท้องถึงแก่ความตายเกือบจะทันทีทันใด ส่วนผู้เสียหายศีรษะด้านขวาแตกยาว 3 เซนติเมตร หน้าอกแถบขวาและซ้ายระดับราวนมมีแผลยาว 1 เซนติเมตรลึกเข้าภายใน มีโลหิตออกในช่องปอด แสดงว่าจำเลยกับพวกตีและแทงผู้ตายและผู้เสียหายที่อวัยวะสำคัญ แพทย์ผู้ชันสูตรบาดแผลเบิกความว่าถ้าผู้ถูกทำร้ายปอดแฟบหรือโลหิตออกมากก็อาจทำให้ตายได้ ซึ่งจำเลยกับพวกย่อมสามารถเล็งเห็นผลในการกระทำของตน จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2413/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: เจตนาฆ่าหรือไม่ และการสนับสนุนการกระทำความผิด
เมื่อผู้ตายถือไม้ออกมาจะต่อสู้กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ทิ้งมีดและหยิบไม้ตีผู้ตายหนึ่งครั้งแล้วไม้ที่ถือก็ร่วงไปและเกิดกอดปล้ำกันขึ้น ขณะที่จำเลยที่ 2 กำลังกอดปล้ำกับผู้ตายผู้ตายจิกผมของจำเลยที่ 2 กดลงต่ำ จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงผู้ตายไปในขณะนั้นไม่มีโอกาสเลือกแทงได้ โดยถนัด บังเอิญไปถูกอวัยวะสำคัญผู้ตายจึงถึงแก่ความตาย ยังไม่พอฟังว่ามีเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ 2 คงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเท่านั้น
เมื่อมีผู้ห้ามมิให้จำเลยที่ 2 กับผู้ตายทะเลาะกัน จำเลยที่ 1 พูดให้จำเลยที่ 2 กับผู้ตายทะเลาะและต่อสู้กัน เมื่อจำเลยที่ 2 ถือมีดออกมาจากบ้าน จำเลยที่ 1 ก็เดินตามหลังมาติดๆ เป็นการสมทบกำลังและให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 2 จะต่อสู้กับผู้ตายเมื่อผู้ตายถือไม้ออกมาและจำเลยที่ 2 ทิ้งมีด จำเลยที่ 1 ก็บอกให้จำเลยที่ 2เก็บมีดไว้กับตัว เป็นการช่วยเหลือแนะนำถึงวิธีต่อสู้ก่อนที่จะเข้าต่อสู้กัน พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2413/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณาเจตนาและบทบาทสนับสนุนของผู้กระทำผิด
เมื่อผู้ตายถือไม้ออกมาจะต่อสู้กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ทิ้งมีดและหยิบไม้ตีผู้ตายหนึ่งครั้งแล้วไม้ที่ถือก็ร่วงไปและเกิดกอดปล้ำกันขึ้น ขณะที่จำเลยที่ 2 กำลังกอดปล้ำกับผู้ตายผู้ตายจิกผมของจำเลยที่ 2 กดลงต่ำ จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงผู้ตายไปในขณะนั้นไม่มีโอกาสเลือกแทงได้ โดยถนัด บังเอิญไปถูกอวัยวะสำคัญผู้ตายจึงถึงแก่ความตาย ยังไม่พอฟังว่ามีเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ 2 คงมีความผิด ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเท่านั้น
เมื่อมีผู้ห้ามมิให้จำเลยที่ 2 กับผู้ตายทะเลาะกันจำเลยที่ 1 พูดให้จำเลยที่ 2 กับผู้ตายทะเลาะและต่อสู้กัน เมื่อจำเลยที่ 2 ถือมีดออกมาจากบ้านจำเลยที่ 1 ก็เดินตามหลังมาติดๆ เป็นการสมทบกำลังและให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 2 จะต่อสู้กับผู้ตายเมื่อผู้ตายถือไม้ออกมาและจำเลยที่ 2 ทิ้งมีด จำเลย จำเลยที่ 1 ก็บอกให้จำเลยที่ 2 เก็บมีดไว้กับตัว เป็นการช่วยเหลือแนะนำถึงวิธีต่อสู้ก่อนที่จะเข้าต่อสู้กัน พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย และการพิเคราะห์พยานหลักฐานเพื่อยืนยันเหตุการณ์
จำเลยใช้ไม้เหลี่ยมขนาด 4 คูณ 2 นิ้ว ยาวประมาณ 50 ซ.ม. ตีผู้ตายเพียง 1 ทีที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ โดยจำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าสามารถทำให้ถึงตายได้ เมื่อกะโหลกศีรษะแตกเละ เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายทันที แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2184/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าหรือไม่: ทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธมีด ความรุนแรงของบาดแผลและพฤติการณ์เป็นปัจจัยสำคัญ
ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกัน สาเหตุเกิดเพราะผู้เสียหายห้ามไม่ให้จำเลยยุ่งเกี่ยวกับหลานสาวที่ริมคลอง เมื่อเดินกลับมาบ้าน จำเลยเข้ารัดคอผู้เสียหายและใช้เหล็กขูดชาฟท์เฉพาะตัวเหล็กยาว 3 นิ้วเศษแทงที่ช่องกระดูกหน้าอกและช่องซี่โครงบาดแผลยาวแห่งละ 0.5 เซนติเมตร ลึกครึ่งเซนติเมตร ไม่มีเลือดหรือลมในช่องปอดรักษาที่ โรงพยาบาล 2 วันก็กลับบ้านไปโรงเรียนได้ตามปกติ และรวมเวลารักษาตัวเพียง 7 วัน ดังนี้ ตามพฤติการณ์และบาดแผลยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า คงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายเท่านั้น
of 184