พบผลลัพธ์ทั้งหมด 764 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15313/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสน และเป็นการโต้แย้งดุลพินิจศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่ 79 ตารางวา และเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 45 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 4366 และ 4367 ตามลำดับ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง กับให้จำเลยรื้อถอนพืชผลทางการเกษตรในส่วนที่รุกล้ำและทำให้ที่ดินเป็นไปตามสภาพเดิม จำเลยให้การว่า จำเลยครอบครองและเข้าทำประโยชน์ตามเนื้อที่โฉนดเลขที่ 4360 ซึ่งจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ มิได้รุกล้ำแนวเขตที่ดินของโจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน อันเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ซึ่งศาลต้องแยกพิจารณาที่ดินแต่ละแปลงออกต่างหากจากกันเป็นรายแปลงว่าเป็นดังที่โจทก์กล่าวอ้างหรือเป็นดังที่จำเลยปฏิเสธ ทุนทรัพย์จึงต้องแยกออกเฉพาะที่ดินแต่ละแปลง เมื่อปรากฏตามบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินว่าที่ดินมีราคาประเมินตารางวาละ 200 บาท หรือไร่ละ 80,000 บาท ที่ดินส่วนที่จำเลยรุกล้ำทั้งสองแปลงตามโฉนดเลขที่ 4366 และ 4367 มีราคา 95,800 บาท และ 129,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในที่ดินแต่ละแปลงไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย จึงต้องฟังว่า เนื้อที่ดินในส่วนที่พิพาทตามแผนที่พิพาท อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์และเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์นั้น เป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15104/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฎีกาคดีสิ่งแวดล้อม: ทุนทรัพย์, การกล่าวแก้เรื่องกรรมสิทธิ์, และอำนาจศาลในการเพิกถอนคำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เสียเกินมา 200 บาท เนื่องจากทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยมีเพียง 115,219 บาท จำเลยยื่นฎีกาพร้อมทั้งยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกา ศ. ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับรองฎีกา และให้ส่งคำร้องไปให้ ส. ผู้พิพากษาองค์คณะพิจารณา ในระหว่างนั้นทนายจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขทุนทรัพย์ โดยอ้างว่าคดีนี้จำเลยกล่าวแก้เรื่องกรรมสิทธิ์ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ รวมทุนทรัพย์ชั้นฎีกา 562,069 บาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกา ขอให้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการพิจารณาคดีและมีคำสั่งที่ผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติและเขตอุทยานแห่งชาติ จำเลยให้การว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และเห็นว่าทุนทรัพย์เกิน 200,000 บาท จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิม และมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยโดยไม่ต้องส่งคำร้องขอให้รับรองฎีกาให้ ส. พิจารณาสั่งอีก ซึ่งในข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การจำเลยมิได้เป็นการกล่าวแก้เรื่องกรรมสิทธิ์ คดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทเฉพาะค่าเสียหายตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 จำนวน 71,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจึงไม่ชอบเนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ศาลฎีกามีอำนาจเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับฎีกาดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247 ให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องที่จำเลยขอให้ศาลรับรองฎีกาไปให้ผู้พิพากษาซึ่งมีชื่อตามคำร้องพิจารณาว่ามีเหตุสมควรรับรองให้ฎีกาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14499/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิฎีกาแพ่งจากทุนทรัพย์พิพาท และการหักเงินค่าสินไหมทดแทนที่ชำระแล้ว
สิทธิในการฎีกาในคดีส่วนแพ่งนั้น ต้องพิจารณาจากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 70,000 บาท จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในคดีส่วนแพ่งจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 ฎีกาของจำเลยโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและดุลพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14296/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ต้องห้ามตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ป.วิ.พ. กรณีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และหน้าที่การยื่นคำร้องขอรับรองเหตุอุทธรณ์
คดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง บัญญัติข้อยกเว้นให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ เมื่อผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ ถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคำรับรองเช่นว่านี้ ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจ แล้วแต่กรณีซึ่งการขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้นั้นมาตรา 224 วรรคสาม บัญญัติให้ผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องถึงผู้พิพากษานั้นพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้น เมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้น ให้ศาลส่งคำร้องพร้อมด้วยสำนวนความไปยังผู้พิพากษาดังกล่าวเพื่อพิจารณารับรอง ดังนั้น หากโจทก์ประสงค์จะขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงโจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้น เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์โดยไม่ได้ยื่นคำร้องเพื่อให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนความแล้วเห็นว่าอุทธรณ์นั้นต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์เสียได้ตามมาตรา 242 (1) ทั้งการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์มาโดยไม่ชอบนั้น มิใช่กรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา 243 (1) อันจะเป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลชั้นต้นเพื่อให้มีคำสั่งใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12516/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ป.วิ.พ. เนื่องจากทุนทรัพย์แต่ละส่วนไม่เกิน 200,000 บาท และเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อมาจำเลยที่ 2 นำที่พิพาทไปจดทะเบียนจำนองแก่สหกรณ์การเกษตร ว. จำกัด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนที่พิพาทคืนแก่กองมรดก ท. นั้น เป็นการฟ้องเรียกที่พิพาทให้ได้กลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสอง คดีของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาที่พิพาท จึงเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกได้ แม้โจทก์ทั้งสองฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์หรือฎีกาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน เมื่อโจทก์ทั้งสองตีราคาที่พิพาทรวมกันมามีราคา 312,000 บาท ที่ดินแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งจึงมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้น ราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ฎีกาของโจทก์ทั้งสองที่ว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องคดีขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่พิพาทแปลงที่ห้าตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ที่จำเลยที่ 1 รับโอนมาทางมรดกจาก ท. และโอนให้แก่จำเลยที่ 2 ตามฟ้อง มีลักษณะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องถือเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า ทรัพย์มรดกของ ท. เจ้ามรดกยังไม่มีการแบ่งปันกันระหว่างทายาท โจทก์ทั้งสองใช้สิทธิติดตามเอาคืนที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 เพื่อนำมาแบ่งปันให้แก่ทายาททุกคน เพราะจำเลยที่ 1 โอนยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ไป โดยทายาทคนอื่น ๆ ไม่ได้ให้ความยินยอมและไม่รับทราบ รวมทั้ง ส. ในฐานะผู้จัดการมรดกก็ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว โดยขอให้ศาลฎีกาได้โปรดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 และมีคำพิพากษาตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองต่อไปนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน
ฎีกาของโจทก์ทั้งสองที่ว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องคดีขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่พิพาทแปลงที่ห้าตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ที่จำเลยที่ 1 รับโอนมาทางมรดกจาก ท. และโอนให้แก่จำเลยที่ 2 ตามฟ้อง มีลักษณะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องถือเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า ทรัพย์มรดกของ ท. เจ้ามรดกยังไม่มีการแบ่งปันกันระหว่างทายาท โจทก์ทั้งสองใช้สิทธิติดตามเอาคืนที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 เพื่อนำมาแบ่งปันให้แก่ทายาททุกคน เพราะจำเลยที่ 1 โอนยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ไป โดยทายาทคนอื่น ๆ ไม่ได้ให้ความยินยอมและไม่รับทราบ รวมทั้ง ส. ในฐานะผู้จัดการมรดกก็ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว โดยขอให้ศาลฎีกาได้โปรดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 และมีคำพิพากษาตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองต่อไปนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11102/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และการกำหนดทุนทรัพย์ที่ผิดพลาด ทำให้ฎีกาไม่รับพิจารณา
คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจดทะเบียนขายฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ราคา 50,000 บาท และวินิจฉัยว่าจำเลยใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากไม่ชอบเนื่องจากก่อนนำเงินสินไถ่ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์จำเลยไม่เคยมาพบโจทก์เพื่อขอชำระหนี้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตกเป็นของโจทก์ และพิพากษาให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ขายฝาก กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวโดยโจทก์มิได้แก้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงย่อมฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ในราคา 50,000 บาท จึงถือได้ว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ในส่วนฟ้องเดิมและฟ้องแย้งมีเพียง 50,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ 51,000 บาท โดยนำเงินที่จำเลยวางเป็นค่าใช้จ่ายการวางทรัพย์ 1,000 บาท มารวมเป็นทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง อุทธรณ์ของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากโดยชอบเพราะก่อนที่จำเลยจะนำเงินไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์นั้น จำเลยได้พบโจทก์และขอให้โจทก์รับสินไถ่แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยย่อมเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 242 (1) ปัญหาตามฎีกาของโจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10811/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำฟ้องเพิ่มเติมข้อเรียกร้องและทุนทรัพย์: ศาลรับคำฟ้องได้หากยื่นก่อนกำหนด
สาระสำคัญในคำฟ้องภายหลังที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องคือ โจทก์ได้ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อขายที่ทำกับจำเลย ให้แก่บริษัท อ. ในราคา 370,000,000 บาท โดยโจทก์รับเงินมัดจำมาแล้ว 20,000,000 บาท การที่จำเลยนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปขายให้แก่บุคคลอื่นทำให้โจทก์ขาดกำไรอีก 169,990,001 บาท รวมค่าเสียหายตามคำฟ้องเดิมและคำฟ้องภายหลังที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสิ้น 232,990,001 บาท คำฟ้องภายหลังนี้เป็นการเพิ่มเติมคำฟ้องเดิมที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขาย จำเลยนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปขายให้บุคคลอื่น ทำให้โจทก์เสียหาย โดยเพิ่มเติมว่าการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ต้องผิดสัญญากับบริษัท อ. และขาดกำไรไปอีก 169,990,001 บาท จึงเป็นการเพิ่มเติมคำฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ และเพิ่มทุนทรัพย์ที่พิพาทในฟ้องเดิม ทั้งคำฟ้องเดิมและคำฟ้องภายหลังนี้ก็เกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179 (1) (2) และวรรคท้าย เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้แก้ไขคำฟ้องโดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลก่อนวันชี้สองสถาน หรือก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 180 จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับคำฟ้องภายหลังของโจทก์ไว้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินรวมกับคำฟ้องเดิมของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 605/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณค่าทนายความในคดีที่มีการฟ้องแย้ง ศาลฎีกาเห็นว่าการคำนวณตามทุนทรัพย์รวมทั้งฟ้องหลักและฟ้องแย้งถูกต้องแล้ว และไม่อาจโต้แย้งดุลพินิจศาลได้
คดีนี้นอกจากโจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายแล้ว จำเลยยังได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนการเช่าที่ดินพิพาท หากบังคับไม่ได้ให้ใช้ค่าเสียหาย ซึ่งศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกัน การคิดทุนทรัพย์เพื่อใช้เป็นฐานคำนวณในการกำหนดค่าทนายความจึงต้องคิดทั้งฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย ซึ่งตามตาราง 6 ค่าทนายความท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกำหนดอัตราขั้นสูงไว้ที่ร้อยละ 5
ที่จำเลยฎีกาว่าค่าทนายความมีจำนวนสูงเกินไปนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะได้ฎีกาในข้อที่ว่าค่าทนายความมิได้คำนวณให้ถูกต้องตามกฎหมายอันเป็นข้อยกเว้นของข้อห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์หรือฎีกาในปัญหาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างเดียวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 168 มาแล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความรวมถึงให้จำเลยฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลล่างทั้งสองในการกำหนดค่าทนายความว่าสูงเกินไปขึ้นมาสู่การพิจารณาในชั้นนี้ได้ด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะมีผลเท่ากับยอมให้มีการหลีกเลี่ยงบทบัญญัติดังกล่าวได้
ที่จำเลยฎีกาว่าค่าทนายความมีจำนวนสูงเกินไปนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะได้ฎีกาในข้อที่ว่าค่าทนายความมิได้คำนวณให้ถูกต้องตามกฎหมายอันเป็นข้อยกเว้นของข้อห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์หรือฎีกาในปัญหาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างเดียวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 168 มาแล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความรวมถึงให้จำเลยฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลล่างทั้งสองในการกำหนดค่าทนายความว่าสูงเกินไปขึ้นมาสู่การพิจารณาในชั้นนี้ได้ด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะมีผลเท่ากับยอมให้มีการหลีกเลี่ยงบทบัญญัติดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6018/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลคดีแพ่ง: การคำนวณทุนทรัพย์และผลของการไม่ชำระค่าขึ้นศาลตามกฎหมาย
การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ในความผิดที่จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ และขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 5,000,000 บาท นั้น เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่โจทก์อ้างว่าเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสองและโจทก์กำหนดจำนวนค่าเสียหายมาแน่นอนแล้วในขณะยื่นฟ้อง แม้โจทก์จะขอให้จำเลยทั้งสองชำระนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป แต่ก็ไม่ใช่ค่าเสียหายที่ให้จ่ายมีกำหนดเป็นระยะเวลาในอนาคตนอกจากที่ศาลมีอำนาจพิพากษาหรือสั่งตามมาตรา 142 อยู่แล้ว ตามตาราง 1 (4) ท้าย ป.วิ.พ. ดังนั้น จึงต้องถือว่าคำฟ้องของโจทก์เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 (1) (ก) คดีโจทก์จึงมีทุนทรัพย์ 5,000,000 บาท ต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามทุนทรัพย์จึงชอบแล้ว เมื่อโจทก์เพิกเฉยไม่ยอมชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นจึงชอบที่มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ก็มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนั่นเอง ซึ่งโจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคท้าย คำสั่งศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์แล้ว ก็ชอบที่มีคำสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นที่โจทก์ได้ชำระไว้แล้วทั้งหมดแก่โจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5043/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งแยกมูลหนี้สัญญาซื้อขายสองฉบับ ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาทอุทธรณ์ไม่ได้
แม้โจทก์จะฟ้องเป็นคดีเดียวกันและมีคู่สัญญาและสัญญาอย่างเดียวกัน แต่คำฟ้องของโจทก์แยกเป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาสองสัญญาซึ่งมีมูลหนี้และที่มาคนละครั้งคนละคราว โดยสัญญาทั้งสองทำขึ้นห่างกันถึงห้าปี มูลหนี้ตามสัญญาฉบับที่สองเป็นการชดเชยราคาบ้านของโจทก์ที่ อ. รื้อออกไปขายแตกต่างกับครั้งแรกที่อ้างว่าเป็นการจะซื้อจะขายกันอย่างแท้จริง แม้จะมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน แต่โดยเนื้อหาแล้วสัญญาทั้งสองหาได้มีลักษณะเป็นการทำสัญญาที่ต่อเนื่องและเกี่ยวพันกันไม่ รวมทั้งพยานหลักฐานก็แยกออกได้เป็นคนละชุดกันจึงถือได้ว่ามีมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันได้ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง และเป็นการฟ้องเพื่อให้ปฏิบัติกาชำระหนี้ตามสัญญาคือให้โอนที่ดินสองแปลงตามคำฟ้องแก่โจทก์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์เป็นคำขอหลัก ส่วนคำขอให้จดทะเบียนทางภาระจำยอมเป็นคำขอต่อเนื่อง การคำนวณทุนทรัพย์ต้องแยกจากกันและต้องคำนวณตามราคาที่ดินในขณะที่ยื่นคำฟ้อง ประกอบกับคำฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้มีคำขอว่า ถ้าจำเลยโอนที่ดินตามคำฟ้องแก่โจทก์ไม่ได้ก็ให้ชำระเงินคืนหรือชดใช้ค่าเสียหายอีกด้วย จึงไม่มีจำนวนเงินที่เรียกร้องที่จะนำมาใช้คำนวณเป็นทุนทรัพย์ขณะยื่นฟ้องคดีนี้อีก เมื่อมูลหนี้ตามสัญญาฉบับที่หนึ่งมีราคาที่ดินในขณะยื่นคำฟ้องอันถือเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นและในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกินห้าหมื่นบาท ย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แต่มูลหนี้ตามสัญญาฉบับที่สองมีราคาที่ดินในขณะยื่นคำฟ้องอันถือเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นและในชั้นอุทธรณ์เกินห้าหมื่นบาท ย่อมไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง