พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,226 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1180/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องลูกจ้างในมูลละเมิดควบคู่กับการฟ้องผู้ใช้ไฟฟ้าในมูลหนี้สัญญาซื้อขาย ไม่ถือเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องซ้ำซ้อน
ลูกจ้างกระทำโดยประมาทเลินเล่อและจงใจไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และคำสั่งเป็นเหตุให้นายจ้างเสียหายไม่สามารถเก็บค่ากระแสไฟฟ้าจากผู้ใช้ไฟฟ้าได้ การที่นายจ้างฟ้องลูกจ้างดังกล่าวในมูลละเมิดว่าลูกจ้างประมาทเลินเล่อหรือจงใจเป็นเหตุให้นายจ้างเสียหายและเป็นการผิดสัญญาจ้างนั้น แม้นายจ้างจะได้ฟ้องผู้ใช้ไฟฟ้าให้ชำระหนี้ค่าไฟฟ้าซึ่งเป็นฟ้องในมูลหนี้ผิดสัญญาซื้อขายเป็นอีกคดีหนึ่งด้วย แต่นายจ้างยังไม่ได้รับชำระหนี้ดังกล่าว การฟ้องลูกจ้างเช่นว่านั้นมิใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องที่ซ้ำซ้อน จึงฟ้องลูกจ้างได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 118/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างต้องอาศัยเหตุร้ายแรงตามระเบียบ หากการกระทำไม่เข้าข่ายเหตุร้ายแรงที่กำหนดไว้ แม้จะผิดระเบียบวินัย ก็ไม่อาจอ้างเป็นเหตุเลิกจ้างได้
ระเบียบข้อบังคับของนายจ้างกำหนดกรณีที่ถือว่าเป็นความผิดอย่างร้ายแรงที่จะลงโทษถึงเลิกจ้างได้โดยกำหนดไว้รวม 10 ประการแต่การที่กรรมการลูกจ้างพูดจาส่อเสียด พนักงานด้วยกันไม่อยู่ใน 10 ประการที่นายจ้างกำหนดไว้ว่าเป็นความผิดร้ายแรงนายจ้างย่อมไม่อาจอ้างมาเป็นเหตุเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสภาพการจ้าง, สิทธิเรียกร้องค่าจ้าง, เงินกองทุนสงเคราะห์, และการลาออกของลูกจ้าง
ตามพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง ประเทศไทยพ.ศ. 2522 กำหนดให้ผู้ว่าการมีอำนาจบริหารกิจการของ สถาบันให้เป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับและนโยบายที่คณะกรรมการ กำหนด บังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้าง กับรับผิดชอบในการจัดการ และดำเนินการของสถาบันตามที่คณะกรรมการมอบหมาย บรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อน ลด หรือตัดเงินเดือนตลอดจนลงโทษพนักงานและลูกจ้าง ตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด มีอำนาจวางนโยบายบริหารและควบคุม ดูแลโดยทั่วไปและรับผิดชอบซึ่งกิจการของสถาบัน ดังนี้ จำเลย ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวมีอำนาจในการ บริหารกิจการและมีอำนาจบังคับบัญชา พนักงาน และลูกจ้างทุกตำแหน่ง รวมตลอดถึงมีอำนาจในการบรรจุ แต่งตั้ง ถอด ถอนลงโทษพนักงาน และลูกจ้างทุกคนเว้นแต่บางตำแหน่ง จำเลยที่ 2 จึงมีฐานะเป็น นายจ้างของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 มีอำนาจให้ความเห็นชอบ วางนโยบายบริหารและควบคุมดูแลทั่วไปกับออกข้อบังคับต่าง ๆจำเลย ที่ 3 ถึงที่ 12 ไม่มีอำนาจตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้ และไม่ใช่ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนจำเลยที่ 1 หรือที่ 2 จำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 จึงมิใช่นายจ้างของโจทก์ เมื่อโจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 โจทก์ยัง เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 อยู่ การที่จำเลยที่ 1 ตั้งโจทก์ เป็นที่ปรึกษาและให้โจทก์ลงนามในสัญญานั้น แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จนจำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงโจทก์อีก ขอให้โจทก์ลงนามในสัญญาจ้าง ที่ปรึกษาให้เสร็จภายใน กำหนด หากพ้นกำหนดจะถือว่าโจทก์สละสิทธิ ที่จะรับ ข้อเสนอในการว่าจ้าง เมื่อโจทก์ไม่ยอมลงนามในสัญญา ตั้งที่ปรึกษาภายในเวลาที่กำหนด ถือว่าโจทก์สละสิทธิที่จะทำงาน เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1ต่อไป มีผลเป็นการลาออกจากการเป็น ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 นับแต่วันพ้นกำหนด แม้โจทก์จะเป็นผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ก็ยังคง เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 อยู่ การออกจากงานของโจทก์จึงต้อง เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ซึ่งจะต้องเกิดจากการตาย ลาออก อายุ ครบ60 ปีบริบูรณ์ ถูกสั่งให้ออก ปลดออก ไล่ออก หรือ ต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดตามที่ข้อบังคับ กำหนดไว้เท่านั้น การพ้น จากตำแหน่งผู้ว่าการตามวาระของโจทก์ตาม พระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแห่งประเทศไทยมีผลทำให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 เท่านั้น หามีผลทำให้ โจทก์พ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 103/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำละเมิดของผู้รับประกันภัย และความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง
ผู้เช่าซื้อรถยนต์ ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของรถยนต์ต่อผู้ให้เช่าซื้อ ย่อมมีสิทธิเอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวตาม ป.พ.พ.มาตรา 863 ได้ และเมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยแล้วย่อมได้รับช่วงสิทธิเรียกร้อง ค่าเสียหายจากผู้กระทำละเมิดได้ตาม มาตรา 227 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปส่งคนงานของจำเลยที่ 2 ตามที่ต่าง ๆแล้วเกิดเหตุขณะที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กลับสำนักงานของจำเลยที่ 2ตามเส้นทางการทำงานของจำเลยที่ 2 จึงถือได้ว่าเกิดเหตุขณะกระทำการ ในทางการของจำเลยที่ 2 แม้ในระหว่างทางจำเลยที่ 1 จะได้แวะ ทำธุระ ส่วนตัวบ้างก็ไม่ทำให้การนำรถยนต์เข้าเก็บที่สำนักงานของจำเลย ที่ 2 พ้นจากการกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 103/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัยของผู้เช่าซื้อรถยนต์ และความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง
ผ. เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของรถยนต์ต่อผู้ให้เช่าซื้อ จึงมีสิทธิเอาประกันภัยรถยนต์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 จำเลยที่ 1 ลูกจ้างขับรถยนต์ไปส่งคนงานของจำเลยที่ 2นายจ้างตามที่ต่าง ๆ ขณะที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กลับสำนักงานของจำเลยที่ 2 ตามเส้นทางการทำงานของจำเลยที่ 2ได้ชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายโดยประมาท ถือได้ว่าเกิดเหตุขณะกระทำการในทางการของจำเลยที่ 2 แม้ในระหว่างทางจำเลยที่ 1 จะแวะทำธุระส่วนตัวบ้าง ก็ไม่ทำให้การนำรถยนต์เข้าเก็บที่สำนักงานของจำเลยที่ 2 พ้นจากการกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 898/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นายจ้างต้องรับผิดต่อละเมิดของลูกจ้าง และสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ครอบคลุมความรับผิดของนายจ้าง
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 เจ้าของรถสองแถวคันเกิดเหตุ มิได้ปฎิเสธ ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 ผู้ขับรถสองแถว ขณะเจรจาเรื่องค่าเสียหายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้อ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่ารถสองแถวคันเกิดเหตุของตนและมาร่วมในการเจรจาเรื่องค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทุกครั้งที่มีการเจรจากันดุจ จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของตน แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างและปฎิบัติ หน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำไป สำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี มีข้อความเพียงว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้ค่าซ่อมรถตามที่โจทก์เรียกร้อง คู่กรณีไม่ติดใจเอาความทางอาญาอีกต่อไป ดังนี้เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับเท่านั้น ส่วนข้อความยอมรับผิดชดใช้ค่าซ่อมรถนั้นไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ต้องชำระวิธีการชำระ อันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีก ข้อความในสำเนารายงานดังกล่าวมิใช่เป็นการระงับข้อพิพาทในมูลละเมิด จึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างหลุดพ้นความรับผิดในมูลละเมิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 898/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง: รายงานประจำวันไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยที่ 2 ขับรถสองแถวของจำเลยที่ 1 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายแล้วโจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีซึ่งมีข้อความว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้ค่าซ่อมรถตามที่โจทก์เรียกร้อง คู่กรณีตกลงไม่ติดใจเอาความในทางอาญาอีกต่อไปข้อความดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะผู้เสียหายไม่ติดใจจะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 2 เพื่อพนักงานสอบสวนจะได้เปรียบเทียบปรับจำเลยที่ 2 เท่านั้น ส่วนข้อความที่จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชดใช้ค่าซ่อมรถตามที่โจทก์เรียกร้องนั้น ไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ต้องชำระ วิธีการชำระอันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีก ข้อความในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าวมิใช่เป็นการระงับข้อพิพาทในมูลละเมิดจึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างหลุดพ้นความรับผิดในมูลละเมิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของเจ้าของแพขนานยนต์ต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุเกิดจากความประมาทเลินเล่อของลูกจ้าง
จำเลยเป็นเจ้าของแพขนานยนต์รับจ้างบรรทุกรถยนต์ข้ามฟากการที่ลูกจ้างของจำเลยจัดให้รถยนต์บรรทุกสิบล้อที่บรรทุกสินค้าน้ำหนักมากลงในแพขนานยนต์เพื่อบรรทุกข้ามฟากโดยมิได้ระมัดระวังว่าแพขนานยนต์จะรับน้ำหนักได้เพียงใดและจัดให้รถยนต์บรรทุกสิบล้อที่มีน้ำหนักมาก จำนวน 3 คัน จอดไว้ทางด้านท้ายแพขนานยนต์ ทำให้ส่วนท้ายต้องรับน้ำหนักมากและจมลง เป็นเหตุให้รถยนต์ที่บรรทุกอยู่บนแพขนานยนต์ไหลไปทางท้าย และกระแทกกันจนบางคันตกลงในทะเลเห็นได้ว่าลูกจ้างของจำเลยมิได้ระมัดระวังในการรับจ้างบรรทุกรถยนต์จึงได้เกิดเหตุขึ้น นับได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างจำเลยจำเลยจึงต้องร่วมรับผิดในละเมิดที่ลูกจ้างของจำเลยก่อขึ้นในทางการที่จ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 816/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าชดเชยการเลิกจ้าง: เงินทุนเลี้ยงชีพไม่ถือเป็นค่าชดเชย นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
เงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสาม (บำนาญ) ที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสามนั้น เป็นไปตามระเบียบการธนาคารออมสิน ฉบับที่ 67ว่าด้วยเงินทุนเลี้ยงชีพของพนักงานธนาคารออมสิน ข้อ 3(3)ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การคิดคำนวณไว้ตามข้อ 12 ของระเบียบฉบับเดียวกันว่า ผู้มีเวลาทำงานไม่น้อยกว่ายี่สิบห้าปี ให้ตั้งเงินเดือนสุดท้ายคูณด้วยเวลาทำงาน หารด้วยห้าสิบ หากมีเวลาทำงานไม่ถึงยี่สิบห้าปี ให้ตั้งเงินเดือนสุดท้ายคูณด้วยเวลาทำงาน หารด้วยห้าสิบ หลักเกณฑ์และการคิดคำนวณดังกล่าวแตกต่างไปจากค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46จึงถือไม่ได้ว่าเป็นค่าชดเชย จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสาม ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง เมื่อไม่จ่ายจำเลยย่อมผิดนัดนับแต่วันเลิกจ้างโดยไม่ต้องทวงถาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 691/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจ่ายค่าทดแทนกรณีสูญเสียอวัยวะจากการทำงาน: การคำนวณระยะเวลาจ่ายตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์สูญเสียอวัยวะหนังศีรษะใบหูข้างขวา และคิ้วทั้งสองข้าง โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ยังสูญเสียอวัยวะบริเวณดั้ง จมูกและโหนกแก้มทั้งสองข้างด้วย จึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างโดยสูญเสียอวัยวะหนังศีรษะ ใบหูข้างขวา และคิ้วทั้งสองข้าง อันเป็นการสูญเสียอวัยวะตามประเภทที่ระบุไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง กำหนดการจ่ายค่าทดแทน (ฉบับที่ 2) ข้อ 1(16) ถือเป็นการสูญเสียอวัยวะส่วนอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในข้อ (1) ถึง (15)ซึ่งให้มีระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทน 4 ปี 6 เดือน ตามที่คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีมติ การจ่ายค่าทดแทนจึงต้องจ่ายให้เป็นรายเดือนร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน มิใช่จ่ายค่าทดแทนจากการที่โจทก์ต้องสูญเสียอวัยวะในแต่ละส่วนของร่างกาย.