พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7273/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำโทษที่รอการลงโทษในคดีก่อนมาพิจารณาลงโทษในคดีหลังได้ แม้ศาลจะไม่ได้ถูกแจ้งในคดีก่อน
ป.อ.มาตรา 58 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2532 ซึ่งใช้บังคับก่อนการกระทำผิดคดีนี้และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1500/2537 ของศาลชั้นต้นบทบัญญัติดังกล่าวนี้แก้ไขและใช้บังคับพร้อมกับ ป.อ.มาตรา 56 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้กระทำผิดในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย แต่ให้รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษไว้ เมื่อมาตรา58 วรรคหนึ่ง กับมาตรา 56 วรรคสอง มีการแก้ไขพร้อมกันแสดงว่ามีเจตนาจะให้สอดคล้องกัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้จำเลยกระทำความผิดอีก แม้ว่า ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคหนึ่ง จะได้บัญญัติว่า ห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องก็ตาม เมื่อ ป.วิ.อ.เป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ ย่อมจะต้องไม่ขัดต่อป.อ.ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติ เช่นเมื่อ ป.อ.บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องโทษไว้อย่างไรการพิพากษาคดีย่อมจะต้องอาศัย ป.อ.ในการกำหนดโทษมิให้ผิดไปจากที่ ป.อ.บัญญัติไว้ เช่นนี้ย่อมตีความ ป.อ.มาตรา 58 วรรคหนึ่งได้ว่า แม้ความปรากฏแก่ศาลเองก็ให้ศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีหลังปฏิบัติตาม แต่สำหรับกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและพินิจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติการกระทำผิดของจำเลยก่อนที่ศาลพิพากษา เมื่อพนักงานคุมประพฤติรายงานว่าจำเลยเคยมีประวัติถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยในความผิดต่อ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษลงโทษจำคุกและปรับ โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี และกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติจำเลย โดยให้จำเลยมารายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก3 เดือนต่อครั้งภายในกำหนดระยะเวลา 1 ปี และให้จำเลยเว้นจากการเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ หรือมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายใด ๆ แต่หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งได้ยอมรับต่อพนักงานคุมประพฤติว่ายังคงเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษอยู่ ซึ่งรายงานดังกล่าวถือว่าเป็นรายงานที่เป็นผลร้ายต่อจำเลย ศาลชั้นต้นปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2522 มาตรา 13 กล่าวคือแจ้งรายงานนั้นให้จำเลยทราบ จำเลยแถลงไม่คัดค้าน เป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามรายงาน รายงานดังกล่าวมีลักษณะเช่นเดียวกับคำแถลงของเจ้าพนักงานตาม ป.อ.มาตรา 58 ที่แก้ไขแล้ว ศาลจึงนำโทษที่รอไว้ในคดีก่อนมาบวกโทษในคดีหลังได้ในกรณีที่ศาลคดีหลังพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7120/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเงินค่าธรรมเนียมอุทธรณ์ที่ไม่ถูกต้อง ศาลมีอำนาจขยายเวลาได้หากมีเหตุผล และไม่ควรยกอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์โดยมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนจำเลยมาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบ แต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้สั่งรับเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ โจทก์ไม่ขัดขืน อาศัยมาตรา 23 แห่ง ป.วิ.พ. ศาลมีอำนาจขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนอีกฝ่ายหนึ่งได้ พฤติการณ์แห่งคดีสมควรขยายเวลาให้ ไม่ควรยกอุทธรณ์ของโจทก์เสียทีเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7105/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวสิ้นผลเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางกายภาพ ทำให้ไม่ต้องเพิกถอนคำสั่ง
ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาโดยให้จำเลยขนคนงานและสิ่งของนอกเหนือจากที่ตกเป็นของโจทก์ออกไปจากบริเวณที่ก่อสร้างแล้ว ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์จำเลยได้ขนย้ายคนงานและสิ่งของออกไปจากบริเวณที่ก่อสร้างตามคำสั่งศาลชั้นต้น และโจทก์ได้เข้าทำการก่อสร้างอาคารจนแล้วเสร็จ และได้แบ่งแยกโฉนดโอนขายให้แก่บุคคลภายนอกแล้ว ดังนี้ คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นย่อมสิ้นผลบังคับไปโดยสภาพ กรณีจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลชั้นต้นตามฎีกาของจำเลยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7060/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาล: การนับระยะเวลาที่ถูกต้องและการปฏิบัติตามบทบัญญัติกฎหมาย
จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ครั้งที่หนึ่งเมื่อวันที่19สิงหาคม2537ขอขยายระยะเวลามีกำหนด15วันนับแต่วันที่ยื่นคำร้องจึงครบกำหนดเวลาที่ได้อนุญาตวันที่3กันยายน2537ซึ่งเป็นวันเสาร์หยุดราชการแม้จำเลยจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอเป็นครั้งที่สองในวันที่5กันยายน2537อันเป็นวันที่เริ่มทำการใหม่ได้ก็ตามแต่การนับระยะเวลาที่จะขอขยายออกไปต้องนับต่อจากวันสุดท้ายที่ครบกำหนดระยะเวลาเดิมคือเริ่มนับ1ตั้งแต่วันที่4กันยายน2537เมื่อขอขยายเวลาอีก15วันจึงครบกำหนดในวันที่18กันยายน2537ซึ่งเป็นวันอาทิตย์หากจำเลยประสงค์จะขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีกก็ต้องยื่นคำร้องขอในวันจันทร์ที่19กันยายน2537ซึ่งเป็นวันที่ศาลเริ่มทำการใหม่การที่จำเลยยื่นคำร้องขอครั้งที่สามเมื่อวันที่20กันยายน2537จึงล่วงพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้แล้วทั้งคำร้องก็มิได้แสดงเหตุว่ามีเหตุสุดวิสัยที่มิอาจยื่นคำร้องก่อนสิ้นกำหนดเวลาดังกล่าวกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลาตามคำร้องขอครั้งที่สามได้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอครั้งที่สามของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาศาลฎีกาให้ยกคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมครั้งที่สามของศาลชั้นต้นนั้นเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6972/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษจำคุกและการเปลี่ยนแปลงดุลพินิจในการลงโทษของศาล
โจทก์ฟ้องขอให้นับโทษจำเลยติดต่อกับโทษของจำเลยในคดีก่อนปรากฏว่าคดีก่อนศาลพิพากษาลงโทษจำคุก แต่ให้รอการลงโทษไว้จึงไม่อาจนับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ติดต่อกับคดีก่อนได้ ต้องนับแต่วันต้องขังตามหลักทั่วไป
ฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษ เป็นฎีกาในดุลพินิจซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 แต่ในคดีที่ฎีกาได้แต่ปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อพฤติการณ์ที่ปรากฏในคดีโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดยังไม่เหมาะสมแก่รูปคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจเปลี่ยนแปลงดุลพินิจในการลงโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดไว้ได้
ฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษ เป็นฎีกาในดุลพินิจซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 แต่ในคดีที่ฎีกาได้แต่ปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อพฤติการณ์ที่ปรากฏในคดีโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดยังไม่เหมาะสมแก่รูปคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจเปลี่ยนแปลงดุลพินิจในการลงโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดไว้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6606/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการยื่นคำร้องขอให้งดบังคับคดี: ผู้มีส่วนได้เสียต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ถูกบังคับคดีโดยตรง
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 128 ของจำเลยที่จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาด การที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 57274 ซึ่งเดิมคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงดังกล่าวที่โจทก์นำยึดไว้ และศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ประกาศขายทอดตลาดใหม่ผู้ร้องได้ฟ้องกรมบังคับคดี โจทก์และจำเลยในคดีนี้ ตลอดจนผู้มีชื่อทางทะเบียนก่อนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเป็นอีกคดีหนึ่งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวนั้น ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีนี้ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 280 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งงดการบังคับคดีไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6427/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันโจทก์ แม้จะอ้างว่าศาลพิจารณาข้อเท็จจริงผิดพลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าคำพิพากษาในคดีแพ่งเป็นโมฆะเพราะศาลฟังพยานหลักฐานผิดไปจากความเป็นจริง ปรากฏว่าคดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดไปแล้วโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบ้านพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของ ส. โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ผลแห่งคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าวย่อมผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ผู้ร้องจำต้องรับผลแห่งคำพิพากษานั้น จะมาโต้เถียงอีกว่าคำพิพากษาพิจารณาไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงและศาลพิจารณาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาไม่ตรงกับความเป็นจริง ทั้ง ๆ ที่คำพิพากษาให้เป็นฝ่ายแพ้คดีหาได้ไม่ทั้งมิใช่กรณีที่มีกฎหมายสนับสนุนให้ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลอันจะยื่นคำร้องเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทเป็นคดีนี้ได้ตามมาตรา 55 และการขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา 27 นั้นจะต้องยื่นคำร้องขอในคดีที่อ้างว่ามีการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเอง จะยื่นคำร้องขอเป็นคดีใหม่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6427/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันคู่ความ ผู้แพ้คดีไม่อาจขอให้ศาลเพิกถอนคำพิพากษาด้วยเหตุฟังพยานหลักฐานผิด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าคำพิพากษาในคดีแพ่งเป็นโมฆะเพราะศาลฟังพยานหลักฐานผิดไปจากความเป็นจริงปรากฏว่าคดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดไปแล้วโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบ้านพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของส. โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยผลแห่งคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าวย่อมผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145ผู้ร้องจำต้องรับผลแห่งคำพิพากษานั้นจะมาโต้เถียงอีกว่าคำพิพากษาพิจารณาไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงและศาลพิจารณาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาไม่ตรงกับความเป็นจริงทั้งๆที่คำพิพากษาให้เป็นฝ่ายแพ้คดีหาได้ไม่ทั้งมิใช่กรณีที่มีกฎหมายสนับสนุนให้ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลอันจะยื่นคำร้องเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทเป็นคดีนี้ได้ตามมาตรา55และการขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา27นั้นจะต้องยื่นคำร้องขอในคดีที่อ้างว่ามีการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเองจะยื่นคำร้องขอเป็นคดีใหม่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6333/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องชัดเจนไม่เคลือบคลุม ศาลมีอำนาจรับฟังพยานประกอบเอกสาร แม้ยังซักค้านไม่เสร็จ
คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้ทำของรวม 3 รายการ เป็นเงิน 750,000 บาท โดยได้บรรยายรายละเอียดว่าในแต่ละรายการมีอะไรบ้าง และคิดค่าแรงงานตลอดจนค่าวัสดุอุปกรณ์รวมเป็นเงินเท่าไร แม้ในส่วนของการชำระค่าจ้างโจทก์จะได้บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยได้ชำระค่าจ้างให้โจทก์ประมาณ 4 ถึง 6 ครั้ง แต่ก็ได้ระบุมาด้วยว่าจำเลยยังคงค้างค่าจ้างอยู่เท่าใด ซึ่งจำเลยเองก็ได้ให้การต่อสู้ว่าไม่มีหนี้ค้างชำระต่อโจทก์ ถือได้ว่าเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นครบถ้วนแล้ว ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสองฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ป.วิ.พ.มาตรา 117 วรรคสอง เป็นบทบัญญัติที่กำหนดถึงวิธีการซักถามพยานของคู่ความเพียงว่า เมื่อคู่ความฝ่ายที่อ้างพยานได้ซักถามพยานของฝ่ายตนเสร็จแล้ว ก็ให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งถามค้านพยานนั้นได้เท่านั้น มิได้บัญญัติให้มีผลถึงว่าหากยังถามค้านพยานคนใดไม่เสร็จสิ้นแล้วก็ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานดังกล่าวเลยแต่อย่างใดไม่ ศาลจึงมีอำนาจที่จะนำคำพยานดังกล่าวที่ตอบคำซักถามของทนายโจทก์และตอบคำถามค้านทนายจำเลยแล้วบางส่วนมารับฟังประกอบพยานเอกสารของโจทก์และจำเลยที่ยื่นประกอบคำซักถามพยานปากนี้ได้ ส่วนจะรับฟังได้มากน้อยเพียงใดนั้นก็เป็นดุลพินิจของศาลในการชั่งน้ำหนักคำพยาน
ป.วิ.พ.มาตรา 117 วรรคสอง เป็นบทบัญญัติที่กำหนดถึงวิธีการซักถามพยานของคู่ความเพียงว่า เมื่อคู่ความฝ่ายที่อ้างพยานได้ซักถามพยานของฝ่ายตนเสร็จแล้ว ก็ให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งถามค้านพยานนั้นได้เท่านั้น มิได้บัญญัติให้มีผลถึงว่าหากยังถามค้านพยานคนใดไม่เสร็จสิ้นแล้วก็ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานดังกล่าวเลยแต่อย่างใดไม่ ศาลจึงมีอำนาจที่จะนำคำพยานดังกล่าวที่ตอบคำซักถามของทนายโจทก์และตอบคำถามค้านทนายจำเลยแล้วบางส่วนมารับฟังประกอบพยานเอกสารของโจทก์และจำเลยที่ยื่นประกอบคำซักถามพยานปากนี้ได้ ส่วนจะรับฟังได้มากน้อยเพียงใดนั้นก็เป็นดุลพินิจของศาลในการชั่งน้ำหนักคำพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6207/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีเยาวชน จำเป็นต้องมีการสืบพยานเพื่อยืนยันความผิด แม้จำเลยให้การรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเกินประมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดและขายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา6(7ทวิ)13ทวิ,62,89,106,106ทวิซึ่งความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเมทแอมเฟตามีนมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาทจึงเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำหนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาทจึงเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา176วรรคหนึ่งแม้จำเลยมีอายุ17ปีเศษและถ้าศาลเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา76ก็ตามก็ยังคงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยเมื่อปรากฏว่าจำเลยให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานแล้วให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาและต่อมาได้อ่านคำพิพากษาให้โจทก์จำเลยฟังโจทก์ก็มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์คงเพียงแต่อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยในสถานหนักเท่านั้นถือได้ว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานเช่นนี้ย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเมทแอมเฟตามีน และศาลอุทธรณ์ก็ยังคงพิพากษาลงโทษจำเลยจึงไม่ถูกต้องปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามมาตรา195วรรคสองประกอบด้วยมาตรา225แต่อย่างไรก็ดีสำหรับความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องโจทก์นั้นย่อมรวมถึงความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทมาตรา62วรรคหนึ่งและมาตรา106ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาทและโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำความผิดของจำเลยและอ้างบทมาตราที่ขอให้ลงโทษมาในฟ้องแล้วความผิดฐานนี้เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานต่อไปก็ได้ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้