พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6235/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ขาดจำนวนน้อย ก็ไม่ถือเป็นการผิดสัญญาหากเจตนาดีและมีการชำระหนี้ครบถ้วนในภายหลัง
จำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์เป็นงวดๆตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมตลอดมาโดยวางเงินต่อศาลจึงถึงงวดสุดท้ายจำเลยก็ได้ชำระเงินภายในกำหนดเวลาจำเลยจึงหาได้กำหนดเวลาจำเลยจึงหาได้ผิดนัดชำระหนี้ไม่เพียงแต่งวดสุดท้ายชำระหนี้ขาดไป40,000บาทซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนหนี้ทั้งหมด2,150,000บาทแล้วนับว่าเป็นส่วนน้อยมากและเกิดขึ้นเพราะความเผอเรออีกทั้งเมื่อจำเลยทราบเหตุก็ได้นำเงินมาวางต่อศาลเพื่อให้โจทก์รับไปทันทีแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะบิดพลิ้วในการชำระหนี้ให้แก่โจทก์และต่อมาโจทก์ก็ขอรับเงินดังกล่าวไม่มีเจตนาที่จะบิดพลิ้วในการชำระหนี้ให้แก่โจทก์และต่อมาโจทก์ก็ขอรับเงินดังกล่าวไปโดยมิได้อิดเอื้อนจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดอันจะเป็นเหตุให้โจทก์บังคับคดีได้เต็มตามฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6094/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจทำสัญญาเช่าซื้อโดยไม่ประทับตราบริษัท ไม่ทำให้สัญญาเป็นโมฆะ หากมีเจตนาเพียงพอและมีการปฏิบัติตามสัญญา
หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์มอบอำนาจให้ส.ทำสัญญาเช่าซื้อระบุว่าโจทก์โดยกรรมการผู้มีอำนาจสองคนขอมอบอำนาจให้ส.มีอำนาจทำการลงนามในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์แทนโจทก์และมีกรรมการผู้มีอำนาจสองคนตามที่ระบุชื่อไว้ข้างต้นลงลายมือชื่อท้ายหนังสือในฐานะผู้มอบอำนาจแม้จะมิได้มีตราบริษัทโจทก์ซึ่งตามข้อบังคับที่จดทะเบียนไว้จะต้องประทับตราด้วยก็ตามแต่ก็ปรากฏว่าตามสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ฟ้องมีข้อความกล่าวชัดในตอนต้นว่าสัญญานี้ทำขึ้นระหว่างบริษัทส. (โจทก์)ผู้ให้เช่าซื้อกับร.(จำเลย)ผู้เช่าซื้อและท้ายสัญญาส.ก็ได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและทั้งโจทก์และจำเลยก็ได้ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อตลอดมาเช่นนี้แสดงว่าส.ทำสัญญาเช่าซื้อในนามของโจทก์ตามที่ได้รับมอบอำนาจข้างต้นถือได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจเป็นหนังสือให้ส.ทำสัญญาเช่าซื้อแทนและโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงใช้บังคับได้และโจทก์มีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยจะชำระค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกำหนดเวลาที่ระบุในสัญญาโจทก์ก็ผ่อนผันให้และรับชำระเรื่อยมาโดยมิได้ทักท้วงพฤติการณ์แสดงว่าโจทก์มิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นสาระสำคัญอีกต่อไปดังนั้นการที่จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อในงวดที่10ตามกำหนดในสัญญาจึงจะถือว่าจำเลยผิดนัดทำให้สัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีตามข้อกำหนดในสัญญาข้อ8หาได้ไม่หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาก็ต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา387ก่อนแต่อย่างไรก็ตามการที่โจทก์ไปยึดรถที่เช่าซื้อคืนมาเมื่อวันที่5มีนาคม2534และไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งการยึดนั้นเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยต่างสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันแล้วตั้งแต่วันที่โจทก์ยึดรถคืนซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดเฉพาะค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ของโจทก์ระหว่างวันที่28พฤศจิกายน2533จนถึงวันที่5มีนาคม2535ส่วนค่าเสียหายอื่นไม่มีเพราะมิได้เป็นการเลิกสัญญาต่อกันโดยเหตุที่จำเลยผิดสัญญา กรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถเช่นนี้เนื่องจากการเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันมีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6055/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินโดยไม่ประสงค์เป็นเจ้าของ แม้ครอบครองนาน ก็ไม่เกิดกรรมสิทธิ์
เข้าครอบครองที่ดินโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่อนุญาตให้เข้าไปไม่เป็นการครอบครองโดยมีเจตนาจะเป็นเจ้าของที่ดิน หากแต่เป็นการครอบครองแทนเจ้าของเท่านั้น แม้จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ต่อมาเจ้าของขายที่ดินให้แก่ผู้อื่น การครอบครองต่อมาก็เป็นการครอบครองแทนเจ้าของคนใหม่จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5876/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงโดยหลอกลวงว่าจะส่งไปทำงานต่างประเทศ
จำเลยกับพวกได้ไปที่บ้านผู้เสียหายทั้งสองแล้วได้ใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสองว่า จำเลยกับพวกสามารถส่งบุตรของผู้เสียหายทั้งสองไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้โดยต้องเสียเงินแก่จำเลยกับพวก ผู้เสียหายทั้งสองหลงเชื่อจึงได้มอบเงินจำนวน 210,000 บาท แก่จำเลยกับพวกไป โดยความจริงจำเลยกับพวกไม่สามารถส่งคนไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้ และการที่ผู้เสียหายทั้งสองติดตามไปที่บ้านของจำเลย แต่จำเลยกลับปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น แสดงว่าขณะที่จำเลยกับพวกไปชักชวนผู้เสียหายทั้งสองก็ดี และขณะที่จำเลยกับพวกไปรับเงินจากผู้เสียหายทั้งสองก็ดี จำเลยมีเจตนาที่จะไม่ส่งบุตรของผู้เสียหายไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกฉ้อโกงผู้เสียหายทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5876/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงส่งไปทำงานต่างประเทศ: เจตนาหลอกลวง, การกระทำร่วม, รอการลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดหญิงมีภาระ
จำเลยกับพวกได้ไปที่บ้านผู้เสียหายทั้งสองแล้วได้ใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสองว่า จำเลยกับพวกสามารถส่งบุตรของผู้เสียหายทั้งสองไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้โดยต้องเสียเงินแก่จำเลยกับพวกผู้เสียหายทั้งสองหลงเชื่อจึงได้มอบเงินจำนวน210,000 บาท แก่จำเลยกับพวกไป โดยความจริงจำเลยกับพวกไม่สามารถส่งคนไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้ และการที่ผู้เสียหายทั้งสองติดตามไปที่บ้านของจำเลย แต่จำเลยกลับปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น แสดงว่าขณะที่จำเลยกับพวกไปชักชวนผู้เสียหายทั้งสองก็ดี และขณะที่จำเลยกับพวกไปรับเงินจากผู้เสียหายทั้งสองก็ดี จำเลยมีเจตนาที่จะไม่ส่งบุตรของผู้เสียหาย ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นจำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกฉ้อโกงผู้เสียหายทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5869/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: เจตนาไม่ใช่เจ้าของ ทำให้ไม่ได้กรรมสิทธิ์ แม้ครอบครองนาน
ผู้ร้องเข้าทำนาในที่ดินของ ว.ซึ่งเป็นพี่สาวโดยถือวิสาสะเพราะความเป็นญาติ ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของต่อมา ว.จดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ บ.ซึ่งเป็นหลานผู้ร้อง โดย บ.ได้ปล่อยให้ผู้ร้องครอบครองทำนาต่อมา ก็ถือได้ว่าผู้ร้องครอบครองแทน บ.โดยมิได้มีเจตนาเป็นเจ้าของ แม้ผู้ร้องจะได้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของผู้คัดค้านและอยู่ติดกับที่ดินของ บ.โดยผู้ร้องเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของ บ.ด้วยเช่นนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นการครอบครองโดยไม่มีเจตนาเป็นเจ้าของเช่นเดียวกัน แม้ผู้ร้องจะครอบครองมานานถึง 10 ปี ก็ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5684/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาย้ายถิ่นที่อยู่และภูมิลำเนา: การหลบหนีหนี้และการเสนอคำฟ้อง
การที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิม แต่ยังไม่แจ้งย้ายเข้าที่ใด จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ ณ ที่ใด แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 41ที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมมีพฤติการณ์ส่อว่าจะหลบหนีหนี้ จึงต้องถือว่าจำเลยยังมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเดิมตามฟ้องโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5684/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาและการมีอำนาจศาล กรณีจำเลยแจ้งย้ายออกแต่ไม่แจ้งย้ายเข้า
การที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมแต่ยังไม่แจ้งย้ายเข้าที่ใดจึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ณที่ใดแสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา41ที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมมีพฤติการณ์ส่อว่าจะหลบหนีหนี้จึงต้องถือว่าจำเลยยังมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเดิมตามฟ้องโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5629/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฉ้อโกงและการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต: เจตนาเป็นสำคัญ
ความผิดฐานฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทมาตราโดยศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 341 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 343 วรรคแรก แต่ยังคงลงโทษจำเลยเท่ากับศาลชั้นต้น ดังนี้ เป็นการแก้บทโดยไม่ได้แก้โทษ ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขเพียงเล็กน้อย และศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรกจำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลที่รับฟังว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงถือได้ว่าเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความสามารถที่จะจัดส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ สำนักงานของจำเลยเป็นบ้านสองชั้น จำเลยอยู่ชั้นล่างเป็นห้องเล็ก ๆ มีประตูเลื่อน ที่หน้าสำนักงานไม่ได้เขียนหนังสือไว้ว่ารับจัดหางาน ซึ่งจำเลยเพียงแต่อาศัยห้องเล็ก ๆ ดังกล่าวเป็นสำนักงานที่หลอกลวงคนหางานเพื่อให้ได้เงินโดยจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานอย่างจริงจัง พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 4ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น บัญญัติคำว่า "จัดหางาน" หมายความว่า ประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้าง โดยจะเรียกหรือรับค่าบริการตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ จำเลยจะต้องมีเจตนาจัดหางาน มิใช่เพียงแต่อ้างการจัดหางานเพื่อเป็นเหตุหลอกลวงเอาเงินจากคนหางาน เมื่อจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานแล้ว จำเลยก็ย่อมไม่มีความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความสามารถที่จะจัดส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ สำนักงานของจำเลยเป็นบ้านสองชั้น จำเลยอยู่ชั้นล่างเป็นห้องเล็ก ๆ มีประตูเลื่อน ที่หน้าสำนักงานไม่ได้เขียนหนังสือไว้ว่ารับจัดหางาน ซึ่งจำเลยเพียงแต่อาศัยห้องเล็ก ๆ ดังกล่าวเป็นสำนักงานที่หลอกลวงคนหางานเพื่อให้ได้เงินโดยจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานอย่างจริงจัง พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 4ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น บัญญัติคำว่า "จัดหางาน" หมายความว่า ประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้าง โดยจะเรียกหรือรับค่าบริการตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ จำเลยจะต้องมีเจตนาจัดหางาน มิใช่เพียงแต่อ้างการจัดหางานเพื่อเป็นเหตุหลอกลวงเอาเงินจากคนหางาน เมื่อจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานแล้ว จำเลยก็ย่อมไม่มีความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5629/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาแก้บทมาตราแต่ไม่แก้โทษและข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง รวมถึงการไม่มีเจตนาจัดหางาน
ความผิดฐานฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทมาตราโดยศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรกแต่ยังคงลงโทษจำเลยเท่ากับศาลชั้นต้น ดังนี้ เป็นการแก้บทโดยไม่ได้แก้โทษ ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขเพียงเล็กน้อย และศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลที่รับฟังว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงถือได้ว่าเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความสามารถที่จะจัดส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ สำนักงานของจำเลยเป็นบ้านสองชั้น จำเลยอยู่ชั้นล่างเป็นห้องเล็ก ๆมีประตูเลื่อน ที่หน้าสำนักงานไม่ได้เขียนหนังสือไว้ว่ารับจัดหางาน ซึ่งจำเลยเพียงแต่อาศัยห้องเล็ก ๆ ดังกล่าวเป็นสำนักงานที่หลอกลวงคนหางานเพื่อให้ได้เงินโดยจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานอย่างจริงจัง พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 4 ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้นบัญญัติคำว่า "จัดหางาน" หมายความว่า ประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้าง โดยจะเรียกหรือรับค่าบริการตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ จำเลยจะต้องมีเจตนาจัดหางาน มิใช่เพียงแต่อ้างการจัดหางานเพื่อเป็นเหตุหลอกลวงเอาเงินจากคนหางาน เมื่อจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานแล้ว จำเลยก็ย่อมไม่มีความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต