พบผลลัพธ์ทั้งหมด 77 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1329/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
น้ำตาลทรายแดงเป็นสินค้าสำเร็จรูปต้องเสียภาษีการค้า การแนะนำของเจ้าหน้าที่สรรพากรไม่ถือเป็นกลฉ้อฉล
น้ำตาลทรายแดงที่ผลิตขายแก่โรงงานน้ำตาลทรายขาว. เป็นสินค้าซึ่งตามสภาพอาจอุปโภคบริโภคได้โดยไม่จำต้องเปลี่ยนหรือดัดแปลงหรือนำไปผสมกับสิ่งอื่น. จึงเป็นสินค้าสำเร็จรูปซึ่งต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 5 ของรายรับ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 937/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์: ความสำคัญผิด กลฉ้อฉล และการบอกเลิกสัญญา
โจทก์ผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่า จำเลยให้การว่า ที่ทำสัญญาเช่าเพราะสำคัญผิดและต้องกลฉ้อฉลโดยโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ความจริงเป็นที่รกร้างว่างเปล่าหรือที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เช่นนี้ถือว่าคำให้การของจำเลยไม่ชัดเจนพอที่จะทำให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องกลฉ้อฉล
ทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์กัน 5 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่าไว้ผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่เมื่อพ้นกำหนด 5 ปีได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวเสียก่อนตามมาตรา 566
ทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์กัน 5 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่าไว้ผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่เมื่อพ้นกำหนด 5 ปีได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวเสียก่อนตามมาตรา 566
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 937/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ดิน: ข้อสำคัญผิด, กลฉ้อฉล, และการบอกกล่าวเลิกสัญญา
โจทก์ผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่า จำเลยให้การว่าที่ทำสัญญาเช่าเพราะสำคัญผิดและต้องกลฉ้อฉล โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ความจริงเป็นที่รกร้างว่างเปล่าหรือที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เช่นนี้ถือว่าคำให้การของจำเลยไม่ชัดเจนพอที่จะทำให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องกลฉ้อฉล
ทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์กัน 5 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่าไว้ผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่เมื่อพ้นกำหนด 5 ปีได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวเสียก่อนตามมาตรา 566
ทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์กัน 5 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่าไว้ผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่เมื่อพ้นกำหนด 5 ปีได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวเสียก่อนตามมาตรา 566
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 724/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กลฉ้อฉลซื้อขายที่ดิน: เพิกถอนนิติกรรม, สิทธิเรียกร้อง, ความสุจริต, การสมคบคิด
น. ทำสัญญาจะขายที่ดินให้ ย. ชำระราคาบางส่วนเกือบครบแล้ว น. กลับไปจดทะเบียนขายที่ดินนั้นให้ อ. เสีย โดย ธ.บิดาอ.เป็นผู้รับมอบฉันทะจากน.แต่ธ. รู้ดีว่า น. ได้ทำสัญญาจะขาย ย.แล้วและอ.นั้นก็แล้วแต่ธ.บิดาจะเชิดไป ธ.และอ. ไม่สุจริต รูปคดีเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ไม่มีทางบังคับชำระหนี้ได้น. ได้กระทำทั้งที่รู้ว่าทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ย. เพิกถอนนิติกรรมระหว่างน. กับ อ. ได้ตาม มาตรา 237
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน: การบังคับสัญญา, การผิดสัญญา, และกลฉ้อฉล
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนการซื้อขายตามสัญญาซื้อขายที่ดิน ถ้าศาลบังคับให้ตามฟ้อง ก็จะมีผลให้โจทก์ได้ที่ดินราคา 3,000 บาทตามสัญญาซื้อขายนั้น คดีเช่นนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ 3,000 บาท
เมื่อจำเลยยอมลงนามในสัญญาซื้อขายไปทั้งๆ ที่ทราบความจริงว่าโจทก์มิได้เขียนข้อกำหนดลงไว้ในสัญญา ว่าโจทก์ผู้ซื้อที่ดินจะต้องปลูกสร้างอาคารเพื่ออยู่อาศัย เช่นนี้ จำเลยจะนำสืบแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายเกี่ยวกับข้อกำหนดเช่นว่านั้นไม่ได้
เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยรับเงินค่าซื้อขายที่ดินจากโจทก์ไว้เสร็จสิ้นแล้ว ไม่ยอมไปจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินให้โจทก์ และโจทก์เตือนให้ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว จำเลยกลับบอกเลิกสัญญาโดยพลการเพื่อจะได้ไม่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์ เช่นนี้ จำเลยเป็นฝ่ายกระทำการไม่ชอบ โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้ต่อกันได้
เมื่อจำเลยยอมลงนามในสัญญาซื้อขายไปทั้งๆ ที่ทราบความจริงว่าโจทก์มิได้เขียนข้อกำหนดลงไว้ในสัญญา ว่าโจทก์ผู้ซื้อที่ดินจะต้องปลูกสร้างอาคารเพื่ออยู่อาศัย เช่นนี้ จำเลยจะนำสืบแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายเกี่ยวกับข้อกำหนดเช่นว่านั้นไม่ได้
เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยรับเงินค่าซื้อขายที่ดินจากโจทก์ไว้เสร็จสิ้นแล้ว ไม่ยอมไปจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินให้โจทก์ และโจทก์เตือนให้ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว จำเลยกลับบอกเลิกสัญญาโดยพลการเพื่อจะได้ไม่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์ เช่นนี้ จำเลยเป็นฝ่ายกระทำการไม่ชอบ โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้ต่อกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 971/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กลฉ้อฉลในสัญญาซื้อขาย จำเลยต้องนำสืบหักล้างหลักฐานโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาต่ออำเภอขายที่พิพาทให้โจทก์แล้ว,จึงขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทจำเลยให้การ รับว่า ได้ไปทำสัญญาดังกล่าวจริง แต่แก้ไปว่ามสัญญานี้เกิดจากโจทก์ใช้อุบายล่อลวงเป็นกลฉ้อฉลความจริงเป็น เรื่องเจตนาขายฝากดังนี้ จำเลยมีหน้าที่จะต้องสืบก่อน เพื่อหักล้างหลักฐานฝ่ายโจทก./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 971/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินด้วยกลฉ้อฉล: จำเลยต้องพิสูจน์การถูกหลอกลวงเพื่อหักล้างสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาต่ออำเภอขายที่พิพาทให้โจทก์แล้ว จึงขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท จำเลยให้การรับว่า ได้ไปทำสัญญาดังกล่าวจริง แต่แก้ไปว่าสัญญานี้เกิดจากโจทก์ใช้อุบายล่อลวงเป็นกลฉ้อฉลความจริงเป็นเรื่องเจตนาขายฝาก ดังนี้ จำเลยมีหน้าที่จะต้องสืบก่อน เพื่อหักล้างหลักฐานฝ่ายโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863-864/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพรางและการซื้อขายที่ดินโดยกลฉ้อฉล ศาลเพิกถอนได้
สามีภริยาไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ แต่ความจริงนั้นทั้งสองฝ่ายมิได้มีเจตนาจะหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันเลย ที่ทำไปก็เพื่อจะลวงผู้อื่นเกี่ยวกับทรัพย์สินของสามีภริยานั่นเอง แล้วภริยาทำนิติกรรมขายที่ดินบ้านเรือนอันเป็นสินเดิมให้สามีเพื่อกีดกันบุตรของภริยาอันเกิดแต่สามีคนเก่า แต่ความจริงมิได้ขายกัน ดังนี้นิติกรรมซื้อขายย่อมเป็นโมฆะ
ภริยามีเจตนาจะขายฝากที่ดินแก่ผู้อื่น แต่เนื่องจากไม่เข้าใจในกิจธุระเช่นนี้ และไม่รู้หนังสือ สามีจัดการขายขาดให้แก่ผู้อื่นไป โดยสามีใช้กลฉ้อฉล ดังนี้ เมื่อที่ดินนั้นกลับตกมาเป็นของสามีอีก และสามีภริยามิได้เจตนาหย่ากันจริง สามีจะเอาที่ดินนั้นไว้เป็นของตนไม่ได้
ภริยามีเจตนาจะขายฝากที่ดินแก่ผู้อื่น แต่เนื่องจากไม่เข้าใจในกิจธุระเช่นนี้ และไม่รู้หนังสือ สามีจัดการขายขาดให้แก่ผู้อื่นไป โดยสามีใช้กลฉ้อฉล ดังนี้ เมื่อที่ดินนั้นกลับตกมาเป็นของสามีอีก และสามีภริยามิได้เจตนาหย่ากันจริง สามีจะเอาที่ดินนั้นไว้เป็นของตนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1049-1050/2485
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความไม่ชัดเจนของฟ้องเรื่องกลฉ้อฉลและการบังคับตามสัญญาซื้อขาย
ฟ้องโจทกล่าวว่าโจทถูกจูงไจด้วยกลฉ้อฉลของจำเลยไห้หลงเข้าทำสัญญาโดยโจทมิได้บันยายว่าจำเลยกล่าวอ้างความจิงอันไดต่อโจทและเปนเท็ดหย่างไร จึงจูงไจไห้โจทเข้าทำสัญญา ย่อมเปนฟ้องที่ไม่แน่นอน , โจทฟ้องกล่าวว่า สัญญาลงวันที่ 16 พรึสจิกายน 2482 ไม่ไช่สัญญาที่แท้จิงและบริสุทธิอาดทำปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือปลอมข้อความบางส่วนหรือทำขึ้นด้วยการหลอกลวงโดยไม่รู้เท่าถึงความจิงไม่ยืนยันว่าจำเลยหลอกลวงโจทว่ากะไร ความจิงเปนหย่างไร ย่อมเปนฟ้องเคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2477
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนชื่อออกจากโฉนดเมื่อมีกลฉ้อฉลหรือประพฤติผิดหน้าที่ตรัสตี ศาลอนุญาตให้สืบพยานพิสูจน์ได้
ชื่อในโฉนด ,กรรมสิทธิตรัสตีประพฤตติผิดหน้าที่ วิธีพิจารณาแพ่งสืบคัดค้านโฉนด พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดินเป็นหลักฐานแห่งกรรมสิทธิโดยเด็ดขาด เพราะตามมาตรา 38 ยอมให้ศาลสั่งแก้โฉนดได้ตามคำตัดสินการที่มีชื่อผู้ 1 ผู้ใดในโฉนดเป็นผู้ถือกรรมสิทธินั้น เมื่อปรากฎว่ามีการกลฉ้อฉลในการขอลงชื่อในโฉนดหรือประพฤติผิดหน้าที่ตรัสตีแล้วยอมให้สืบพะยานพิศูจน์ได้(เทียบฎีกาที่ 443/2463) ป.พ.พ.ม.798 เพียงแต่มีชื่อในโฉนดที่ดินของอีกคน 1 จะถือว่าเป็นตัวแทนของคนนั้นไม่ได้เสมอไปต้องแล้วแต่ข้อเท็จจริงตามพฤตติการณ์ที่แต่งตั้งกันไว้หรือไม่ พะยาน คำพะยานที่เบิกความเกี่ยวข้องในกรณีศาลรับฟังไว้