พบผลลัพธ์ทั้งหมด 87 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 869/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลิกสัญญาซื้อขายโดยปริยาย ผลของการเลิกสัญญาและการดำเนินคดีโดยสุจริต
ภรรยาไปพาโจทก์มาฟ้องคดี จึงต้องถือว่าเป็นการดำเนินคดีของโจทก์เองส่วนผลคดีจะเป็นประโยชน์ต่อใครไม่สำคัญ จะว่าเป็นการดำเนินคดีโดย ไม่สุจริตไม่ได้
หากโจทก์ฟ้องแล้ว เมื่อโจทก์ไม่มาเบิกความเอง จะอ้างว่าฟ้องไม่ได้เสียเลยหาได้ไม่ เพราะการที่โจทก์ไม่มาเบิกความต่อศาล ก็ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำดังนั้น แล้วแต่โจทก์จะเสนอพยานหลักฐานใดต่อศาล ส่วนการจะฟังได้หรือไม่ ศาลย่อมวินิจฉัยตามพยานหลักฐานและรูปคดี มิใช่ว่าถ้าโจทก์ไม่มาเบิกความเองแล้วฟังไม่ได้เสียเลย
ประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยนั้น เมื่อพยานหลักฐานได้สืบกันมาแล้ว ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยให้ได้โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
การที่โจทก์ตกลงซื้อที่ดินที่พิพาทจากจำเลยและปลูกเรือนให้ภริยาของตนอยู่ในที่พิพาท แล้วก็ทอดทิ้งไปไม่นำพาในเรื่องซื้อขายกับจำเลยอีก เมื่อภริยาโจทก์ไม่ชำระราคาที่ค้าง ยอมให้เอาที่ดินไปขายให้แก่คนอื่นได้ ทั้งให้ขายเรือนให้ด้วย และเมื่อจำเลยฟ้องภรรยาโจทก์ก็ถอนการคัดค้านในการที่จำเลยจะทำนิติกรรมให้กับคนอื่น พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่า คู่กรณีตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายกันแล้วโดยปริยาย
ในคดีที่โจทก์ฟ้องเพียงให้จำเลยโอนขายที่พิพาทอย่างเดียวมิได้เรียกเงินคืนในการที่โอนขายให้ไม่ได้ ทั้งโจทก์ยังมิได้จัดการให้จำเลยกลับสู่ฐานะเดิมในเหตุเลิกสัญญาจะบังคับให้จำเลยคืนเงินมัดจำเพราะเหตุเลิกสัญญาในคดีด้วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ตัดสิทธิคู่ความในการดำเนินคดีในผลแห่งการเลิกสัญญา
หากโจทก์ฟ้องแล้ว เมื่อโจทก์ไม่มาเบิกความเอง จะอ้างว่าฟ้องไม่ได้เสียเลยหาได้ไม่ เพราะการที่โจทก์ไม่มาเบิกความต่อศาล ก็ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำดังนั้น แล้วแต่โจทก์จะเสนอพยานหลักฐานใดต่อศาล ส่วนการจะฟังได้หรือไม่ ศาลย่อมวินิจฉัยตามพยานหลักฐานและรูปคดี มิใช่ว่าถ้าโจทก์ไม่มาเบิกความเองแล้วฟังไม่ได้เสียเลย
ประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยนั้น เมื่อพยานหลักฐานได้สืบกันมาแล้ว ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยให้ได้โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
การที่โจทก์ตกลงซื้อที่ดินที่พิพาทจากจำเลยและปลูกเรือนให้ภริยาของตนอยู่ในที่พิพาท แล้วก็ทอดทิ้งไปไม่นำพาในเรื่องซื้อขายกับจำเลยอีก เมื่อภริยาโจทก์ไม่ชำระราคาที่ค้าง ยอมให้เอาที่ดินไปขายให้แก่คนอื่นได้ ทั้งให้ขายเรือนให้ด้วย และเมื่อจำเลยฟ้องภรรยาโจทก์ก็ถอนการคัดค้านในการที่จำเลยจะทำนิติกรรมให้กับคนอื่น พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่า คู่กรณีตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายกันแล้วโดยปริยาย
ในคดีที่โจทก์ฟ้องเพียงให้จำเลยโอนขายที่พิพาทอย่างเดียวมิได้เรียกเงินคืนในการที่โอนขายให้ไม่ได้ ทั้งโจทก์ยังมิได้จัดการให้จำเลยกลับสู่ฐานะเดิมในเหตุเลิกสัญญาจะบังคับให้จำเลยคืนเงินมัดจำเพราะเหตุเลิกสัญญาในคดีด้วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ตัดสิทธิคู่ความในการดำเนินคดีในผลแห่งการเลิกสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความในการดำเนินคดีล้มละลายแทนเจ้าหนี้: ขอบเขตและระยะเวลา
คดีล้มละลาย การที่เจ้าหนี้มอบอำาจให้ทนายความเป็นผู้ยื่นคำขอรับชำระหนี้แทน และให้มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมเจ้าหนี้ ประนีประนอมยอมความ รับเงิน ตลอดจนทำการอื่นใดที่เกี่ยวกับคดีล้มละลายเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ทนายผู้รับมอบอำนาจย่อมมีสิทธิที่จะดำเนินคดีแทนเจ้าหนี้คนนั้นได้ตลอดไปจนถึงชั้นอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลด้วย เพราะเป็นเรื่องของกระบวนพิจารณาที่สืบต่อจากการยื่นคำขอรับชำระหนี้นั้นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายและการดำเนินคดีเช่าซื้อควบคู่กัน
กรณีประนอมหนี้ก่อนมีคำพิพากษาให้ล้มละลายนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังไม่หมดอำนาจและหน้าที่ในคดีล้มละลายจะนำ มาตรา 63 ซึ่งใช้สำหรับการประนอมหนี้หลังจากพิพากษาให้ล้มละลายแล้วมาบังคับไม่ได้
ในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ที่จำเลยเช่าซื้อไปแล้วผิดนัดไม่ชำระราคาค่าเช่าซื้อ 2 งวด ติดกันคดียังพิพาทกันอยู่ว่าฝ่ายใดผิดสัญญาจำเลยก็ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีเช่าซื้อแทนจำเลยทั้งได้โอนสิ่งของที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนในคดีเช่าซื้อเข้าในกองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายตาม มาตรา 109(3) ด้วยนั้น คดีที่พิพาทกันเรื่องเช่าซื้อก็ยังต้องดำเนินต่อไป ยังไม่มีทางที่จะให้โจทก์คดีเช่าซื้อไปขอรับชำระหนี้ ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 91 ในชั้นนี้ได้
ในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ที่จำเลยเช่าซื้อไปแล้วผิดนัดไม่ชำระราคาค่าเช่าซื้อ 2 งวด ติดกันคดียังพิพาทกันอยู่ว่าฝ่ายใดผิดสัญญาจำเลยก็ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีเช่าซื้อแทนจำเลยทั้งได้โอนสิ่งของที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนในคดีเช่าซื้อเข้าในกองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายตาม มาตรา 109(3) ด้วยนั้น คดีที่พิพาทกันเรื่องเช่าซื้อก็ยังต้องดำเนินต่อไป ยังไม่มีทางที่จะให้โจทก์คดีเช่าซื้อไปขอรับชำระหนี้ ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 91 ในชั้นนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 674/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาทางลัดโดยรายละเอียดการบาดเจ็บสาหัสเพียงพอต่อการดำเนินคดี
โจทก์ฟ้องด้วยวาจาและศาลบันทึกไว้ว่า จำเลยได้ขับรถยนต์ชนนายอุ้นไก่ซึ่งขับจักรยานยนต์สวนทางมา ล้มลงบาดเจ็บสาหัส รักษา 45 วันหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้ฟ้องด้วยวาจาโดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับบาดเจ็บสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 แล้ว ศาลจึงบันทึกไว้เช่นนั้น (อ้างฎีกาที่1121/2502)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 323/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องที่ขาดการลงชื่อ: ศาลมีอำนาจสั่งให้แก้ไขเพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปได้
สืบพยานโจทก์ได้ 1 ปาก โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลว่าคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ โจทก์ยังมิได้ลงชื่อทั้งเป็นสำเนาด้วย โจทก์ขอส่งคำขอท้ายฟ้องอันแท้จริงใหม่ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยจำเลยว่าแล้วแต่ศาลจะสั่งดังนี้ศาลชั้นต้นจะสั่งยกคำร้องของโจทก์ หาชอบไม่ น่าจะเป็นความพลั้งเผลอของผู้ที่กลัดคำฟ้องกลัดสับสนกันไป หากศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์จัดทำใหม่ให้ถูกต้อง ก็ไม่ทำให้จำเลยเสียหายในการดำเนินคดีหรือต่อสู้คดีแต่ประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 581/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฎีกา: ผลกระทบต่อการดำเนินคดีและการจำหน่ายคดีออกจากสารบบ
ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฎีกาและสั่งให้ส่งสำเนาให้อีกฝ่ายภายใน 15 วัน เพื่อแก้ฎีกา แต่คู่ความฝ่ายที่ยื่นฎีกาซึ่งทราบคำสั่งศาลนั้นแล้วเพิกเฉยไม่นำส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้แก่อีกฝ่ายภายในเวลาตามที่ศาลกำหนดโดยไม่แจ้งให้ศาลทราบเหตุแห่งการเพิกเฉยเช่นนี้ ต้องถือว่าคู่ความฝ่ายที่ยื่นฎีกานั้นทิ้งฎีกาที่ศาลชั้นต้นสั่งรับไว้เสียแล้ว ย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นฎีกานั้นเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฎีกาเลย ศาลฎีกาย่อมสั่งจำหน่ายคดี
หมายเหตุ เมื่อโจทก์ทิ้งฎีกา (ทิ้งฟ้อง) ศาลไม่มีอำนาจคืนค่าขึ้นศาล (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8 / 2502)
หมายเหตุ เมื่อโจทก์ทิ้งฎีกา (ทิ้งฟ้อง) ศาลไม่มีอำนาจคืนค่าขึ้นศาล (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8 / 2502)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงระหว่างคู่ความในการดำเนินคดี และการท้าประเด็นการนำสืบพยาน
การที่คู่ความตกลงกันเกี่ยวกับการที่จำดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างไร ก็ย่อมมีผลบังคับได้
เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านข้อที่ว่า "การท้านประเด็นจะต้องทำต่อหน้าคู่ความ" มาเสียแต่ชั้นต้นแล้วจะมากล่าว้างในชั้นฎีกาหาได้ไม่.
เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านข้อที่ว่า "การท้านประเด็นจะต้องทำต่อหน้าคู่ความ" มาเสียแต่ชั้นต้นแล้วจะมากล่าว้างในชั้นฎีกาหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องละเมิด: การบรรยายเหตุและจำนวนเงินเรียกคืนเพียงพอต่อการดำเนินคดี
การที่โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่าจำเลยหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของเครื่องสูบน้ำสองเครื่องและโจทก์ตกลงรับซื้อจ่ายราคาให้ 26,640 บาท แล้วโจทก์ขายต่อให้นายอุทัย.ภายหลังปรากฏว่าเครื่องสูบน้ำนี้เป็นของกรมชลประทาน จำเลยยักยอกมา ตำรวจจึงไปเอาคืนมา.โจทก์ได้ชดใช้ราคาเครื่องสูบน้ำแก่นายอุทัยไปแล้วจึงฟ้องให้จำเลยรับไปจากโจทก์ข้างต้น ดังนี้ถือว่าโจทก์บรรยายเหตุที่จำเลยกระทำละเมิดไว้ชัดเจน และเรียกจำนวนเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์คืนนับว่าเป็นฟ้องที่มีมูลกรณีชัดแจ้งแล้ว
ส่วนข้อทีโจทก์มิได้บรรยายว่าได้จ่ายเงินค่าสูบน้ำแก่นายอุทัยผู้ซื้อจากโจทก์เท่าใดและเมื่อใดนั้นตามฟ้องก็กล่าวพอจะให้เข้าใจได้ว่าใช้ตามราคาที่ขายแก่นายอุทัยและตาม 2 ข้อนี้ไม่ใช่ประเด็นโดยตรงของการละเมิด.ฉนั้นจึงถือได้ว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.
ส่วนข้อทีโจทก์มิได้บรรยายว่าได้จ่ายเงินค่าสูบน้ำแก่นายอุทัยผู้ซื้อจากโจทก์เท่าใดและเมื่อใดนั้นตามฟ้องก็กล่าวพอจะให้เข้าใจได้ว่าใช้ตามราคาที่ขายแก่นายอุทัยและตาม 2 ข้อนี้ไม่ใช่ประเด็นโดยตรงของการละเมิด.ฉนั้นจึงถือได้ว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีของห้างหุ้นส่วนจำกัดที่เลิกแล้ว: สิทธิในการฎีกาและข้อยกเว้นตามกฎหมาย
จำเลยเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วจำเลยได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วน ดังนี้จำเลยย่อมจะต่อสู้คดีจนถึงที่สุดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนัดพร้อมกับนัดชี้สองสถาน: ผลต่อการยื่นเพิ่มเติมฟ้อง
โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องมรดก เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อม ครั้นถึงกำหนดคู่ความขอเลื่อนไปเนื่องจากมีทางตกลงกันได้ จนถึงกำหนดนัดพร้อมกันครั้งที่ 2 คู่ความก็ยังขอเวลาไปเจรจา เพื่อแบ่งมรดกกันเองก่อน ขอให้ศาลงดคดีไว้ 1เดือน ศาลก็อนุญาตดังนี้ การนัดทั้ง 2 ครั้งดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นการนัดพร้อม ไม่ใช่นัดชี้สองสถาน และการนัดพร้อมทั้ง 2 ครั้งนั้นคู่ความหรือศาลก็หาได้กระทำอย่างหนึ่งอย่างใด อันจะเป็นการเรียกได้ว่า ได้มีการชี้สองสถาน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 ไม่ จึงเรียกไม่ได้ว่ามีการชี้สองสถานแล้ว