คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีถึงที่สุด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 334 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4744/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: คดีละเมิดเดิมถึงที่สุดแล้ว การฟ้องคดีใหม่โดยอาศัยเหตุเดิมเป็นฟ้องซ้ำ
ในคดีก่อน โจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นคู่ความรายเดียวกัน โดยจำเลยทั้งสามเป็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ในคดีดังกล่าวโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่จัดผลประโยชน์ 7 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนกลาง มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติราชการในฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนกลาง การขอเช่า ขอเลิกเช่าการโอนสิทธิการเช่า การขอรับเช่าสืบแทน ที่ดินและอาคารศาสนสมบัติกลางของวัดร้างและวัดมีพระสงฆ์ในส่วนกลาง คือกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียงบางจังหวัด จำเลยที่ 2ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่จัดผลประโยชน์ 7 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนภูมิภาค มีหน้าที่ปฏิบัติและรับผิดชอบงานเกี่ยวกับการควบคุมการปฏิบัติราชการในฝ่ายให้เป็นไปด้วยดี ทำความเห็นเกี่ยวกับงานจัดประโยชน์ศาสนาสมบัติกลางของวัดร้างและวัดที่มีพระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรเสนอผู้อำนวยการสำนักงานศาสนสมบัติเพื่อวินิจฉัยสั่งการจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ 1 ฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนภูมิภาคมีหน้าที่รับผิดชอบในการจ่ายใบเสร็จรับเงินของโจทก์ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2527 พ. ได้ขอเบิกใบเสร็จรับเงินจำนวน 5 เล่ม จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้อนุมัติด้วยวาจาให้จำเลยที่ 3 จ่ายใบเสร็จรับเงินให้ พ. เป็นการฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 หมวด 1 ส่วนที่ 1 ข้อ 9 เป็นผลให้พ. ไม่นำใบเสร็จรับเงินดังกล่าวไปลงทะเบียนแต่ได้นำไปปลอมลายมือชื่อออกให้แก่ผู้เช่า แล้ว พ.นำเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตนจำนวน 300,274.57 บาท จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดต่อโจทก์ โดยคดีดังกล่าวศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดมีใจความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้อนุมัติด้วยวาจาให้จำเลยที่ 3 จ่ายใบเสร็จรับเงิน 5 เล่ม ให้แก่ พ. โดยฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 หมวด 1 ส่วนที่ 1 ข้อ 9 เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในคดีดังกล่าวเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ในคดีนี้ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นละเมิดต่อโจทก์ โดยเมื่อวันที่7 กันยายน 2527 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกันอนุมัติด้วยวาจาให้จำเลย ที่ 4 จ่ายใบเสร็จรับเงินให้แก่จำเลยที่ 1อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 หมวด 1 ส่วนที่ 1 ข้อ 9ข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาคดีนี้ของโจทก์จึงอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 813/2535 ของศาลชั้นต้น ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคืนการครอบครองที่ดิน: สิทธิครอบครองขึ้นอยู่กับสถานะทางกฎหมายก่อนถึงที่สุด
โจทก์ได้ฟ้อง จ.และ ป.ภรรยาเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่บุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จ.ให้การปฏิเสธและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนกรณีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการฟ้องเอาคืนการครอบครอง การที่จำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ จ.จำเลยในคดีก่อนในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด จำเลยย่อมไม่อาจยกการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นอ้างยันสิทธิครอบครองของโจทก์ โจทก์จึงหาขาดสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและไม่อาจฟ้องเรียกร้องเอาคืนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2258/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ – ความผิดฐานปลอมแปลงเครื่องหมายการค้าและจำหน่ายสินค้าปลอม – คดีถึงที่สุดแล้ว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดโดยร่วมกันปลอมเครื่องหมายการค้าใบชากลิ่นมะลิ ตราดอกทานตะวันของบริษัทผู้เสียหายและร่วมกันจำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายปลอมดังกล่าวแก่ประชาชนเมื่อระหว่างวันที่1มกราคม2531ถึงวันที่28กรกฎาคม2531วันเวลาใดไม่ปรากฎชัดส่วนในคำฟ้องคดีเดิมระบุว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดทั้งสองกรรมดังกล่าวเมื่อวันที่19มกราคม2531เวลากลางวันเห็นได้ว่าเวลากระทำผิดตามฟ้องคดีนี้กับคดีเดิมเป็นเวลาเดียวกันเพราะแม้คำฟ้องคดีนี้จะระบุว่าเวลากระทำผิดเป็นระหว่างวันที่1มกราคม2531ถึงวันที่28กรกฎาคม2531แต่ก็ระบุว่าวันเวลาใดไม่ปรากฎชัดจึงอาจเป็นวันที่19มกราคม2531เวลากลางวันดังที่ระบุไว้ในคำฟ้องคดีเดิมก็ได้และการกระทำของจำเลยทั้งสองในความผิด2กรรมทั้งสองคดีดังกล่าวก็เป็นการร่วมกันปลอมเครื่องหมายการค้าตราดอกทานตะวันของบริษัทผู้เสียหายรายเดียวกันซึ่งใช้กับสินค้าใบชากลิ่นมะลิเหมือนกันและร่วมกันจำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายสินค้าใบชาที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมดังกล่าวเช่นเดียวกันทั้งปรากฎในคำฟ้องคดีเดิมว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเสนอจำหน่ายสินค้าดังกล่าวต่อร้านต่างๆทั่วไปในกรุงเทพมหานครซึ่งคำฟ้องคดีนี้โจทก์ก็ระบุว่าเกิดที่กรุงเทพมหานครเช่นเดียวกันดังนี้ความผิด2กรรมที่โจทก์ทั้งสองคดีฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดได้เกิดขึ้นในเวลาและสถานที่เดียวกันทั้งเป็นการกระทำความผิดในเรื่องเดียวกันการกระทำของจำเลยทั้งสองในแต่ละกรรมทั้งสองคดีจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกันความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้ในแต่ละกรรมย่อมเป็นความผิดกรรมเดียวกันกันความผิด2กรรมที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีเดิมเมื่อฟังได้ความว่าคดีอาญาเดิมศาลแขวงดุสิตได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองไม่มีความผิดตามที่โจทก์ฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้วดังนั้นเมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วโจทก์จึงนำคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิดที่ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีก่อนมาฟ้องจำเลยทั้งสองนี้อีกหาได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ประเด็นข้อพิพาทซ้ำกับคดีก่อนถึงที่สุด
ในคดีเดิมจำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ประเด็นในคดีดังกล่าวมีว่าจำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วการที่จำเลยกลับมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ในคดีก่อนเป็นจำเลยในคดีนี้ขอให้คืนเงินอ้างว่าเป็นเงินที่โจทก์ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลย แต่จำเลยมิได้นำไปหักใช้หนี้เงินที่โจทก์กู้ยืมมา ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่าจำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้วหรือไม่จึงเป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1294/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ระยะเวลาคดีถึงที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147: กำหนดอายุอุทธรณ์และผลเมื่อไม่โต้แย้ง
ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 147 วรรคสอง คำพิพากษาในคดีที่อาจอุทธรณ์ฎีกาได้จะถึงที่สุดต่อเมื่อระยะเวลาผ่านพ้นไปจนถึงวันครบกำหนดอายุอุทธรณ์หรือฎีกา สำหรับคดีที่อาจอุทธรณ์ได้จึงมีอายุอุทธรณ์ 1 เดือน นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 229 แต่เมื่อคดีดังกล่าวคู่ความมิได้อุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาตามมาตรา 147 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6041/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีค่าหุ้นค้างชำระ: ระยะเวลา 10 ปีนับจากคดีถึงที่สุด & การอ้างเอกสารในสำนวน
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านได้อ้างสรรพเอกสารในสำนวนทวงหนี้ลูกหนี้รายผู้ร้องเป็นพยาน โดยระบุไว้ในบัญชีพยานแล้ว แม้จะขออ้างส่งเฉพาะเอกสารบางฉบับในสำนวนก็ไม่จำต้องยื่นบัญชีพยานหรือขอระบุพยานเพิ่มเติมต่างหากอีก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านเรียกหนี้ค่าหุ้นที่ค้างชำระจากผู้ร้อง ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ถือว่าคดีถึงที่สุดนับแต่ระยะเวลาที่อาจฎีกาได้สิ้นสุดลง ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อยังไม่เกิน 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด และผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวโจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้เมื่อจำเลยไม่คัดค้านศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2)ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาและเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาแล้วย่อมไม่จำต้องสั่งคำร้องขอถอนฎีกาของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเป็นผู้จัดการมรดกต้องยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์ หากศาลชั้นต้นยกคำร้องและมีคู่ความอุทธรณ์เพียงฝ่ายเดียว คดีถึงที่สุดแล้ว
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายผู้คัดค้านอุทธรณ์ผู้ร้องไม่ได้อุทธรณ์คดีของผู้ร้องจึงถึงที่สุดผู้ร้องจะฎีกาขอให้ศาลฎีกาตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้คัดค้านไม่ได้เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ภาค2ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9355/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำพิพากษาคดีถึงที่สุด และการรับฟังสำนวนคดีเก่าเป็นพยานหลักฐาน
คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ว่า ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 4015เป็นของโจทก์ จำเลยที่ 2 ขายให้โจทก์แล้วผิดสัญญาไม่โอนให้โจทก์ แต่ได้โอนให้จำเลยที่ 1 โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองให้โอนที่ดินดังกล่าว ซึ่งศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี และคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาท จึงฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสอง คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 104 ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ดังนั้น เมื่อศาลได้สอบถามและคู่ความได้แถลงยอมรับว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่786/2530 ของศาลชั้นต้น และคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ และมีอำนาจรับฟังสำนวนคดีดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้แม้โจทก์จะไม่ได้ยื่นต่อศาลและให้คู่ความตรวจพิจารณาก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8759/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาบังคับคดีตามคำพิพากษา: เริ่มนับจากวันคดีถึงที่สุด
บทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ที่ว่า นับแต่วันมีคำพิพากษา หมายความว่า วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2526 ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม2526 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง โจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2526 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกคำบังคับและได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยโดยการปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2526ต่อมาวันที่ 8 มกราคม 2535 โจทก์ยื่นคำขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและได้ออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 27 มกราคม2535 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ออกประกาศลงวันที่ 25 มิถุนายน 2536 ว่าจะทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษาในวันที่ 5 กรกฎาคม 2536 และหรือในวันต่อ ๆไปจนกว่าจะทำการแล้วเสร็จ แสดงว่า โจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ได้ประกาศว่าจะทำการบังคับคดีโดยการรื้อถอนอาคารตามประกาศลงวันที่25 มิถุนายน 2536 อันเป็นการดำเนินการบังคับคดีตั้งแต่วันดังกล่าวแล้วซึ่งเป็นเวลาภายในกำหนด 10 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 271 แล้ว
of 34