คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีแพ่ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,220 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างฐานยักยอกทรัพย์และการฝ่าฝืนระเบียบ คำพิพากษาไม่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ซึ่งมีหน้าที่และรับผิดชอบขับรถยนต์นำน้ำมันไปส่งให้แก่กรมช่างอากาศ แต่โจทก์หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ กลับยักยอกเอาน้ำมันดังกล่าวไปเป็นของบุคคลอื่นโดยทุจริต ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย การเลิกจ้างดังกล่าวจึงมาจากเหตุที่โจทก์ยักยอกทรัพย์และฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลย การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าแม้จะฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยักยอกน้ำมัน แต่การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยนั้น เป็นการวินิจฉัยถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างตามที่ระบุไว้ในคำสั่งเลิกจ้างแล้ว มิใช่เป็นการยกเหตุอื่นนอกเหนือจากที่มีในคำสั่งเลิกจ้างมาวินิจฉัยคดีแต่อย่างใด
โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยผู้เป็นนายจ้างเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โบนัส เงินบำเหน็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม อันเป็นการฟ้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ที่เกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานแม้โจทก์จะถูกดำเนินคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์ตามที่จำเลยกล่าวหาก็ไม่ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังนั้น ในการพิพากษาคดีศาลแรงงานกลางจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีแพ่ง, คำฟ้องไม่เคลือบคลุม, การเรียกร้องค่าเสียหายเกินคำขอ
โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมี ก. เป็นกรรมการเพียงคนเดียวก. จึงมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีและแม้ว่าวัตถุประสงค์ของโจทก์จะไม่ได้ระบุว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินคดีแต่อำนาจในการฟ้องคดีแพ่งย่อมเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายแพ่งโจทก์จึงชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้
โจทก์ระบุข้อหาหรือฐานความผิดว่าเอกเทศสัญญา และบรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องมีรายละเอียดว่าจำเลยมอบแม่พิมพ์ให้โจทก์ผลิตสินค้ากล่องพลาสติกรูปบ้าน รูปหุ่นยนต์ และรูปโทรศัพท์เป็นชุดโจทก์ผลิตสินค้าดังกล่าวให้จำเลยแล้ว และโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแม่พิมพ์ให้จำเลย แต่จำเลยไม่ชำระค่าสินค้าและค่าซ่อมแม่พิมพ์ให้โจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าและค่าซ่อมแม่พิมพ์ดังกล่าว ซึ่งจำเลยสามารถเข้าใจคำฟ้องของโจทก์และต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ส่วนจะเข้าลักษณะข้อหาหรือฐานความผิดใดนั้น ศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
แม่พิมพ์ที่จำเลยมอบให้โจทก์ผลิตสินค้ามีสภาพชำรุดบกพร่อง จำเลยยินยอมให้โจทก์นำช่างมาซ่อมได้เสียค่าซ่อมเป็นเงิน 103,000 บาท จำเลยชำระค่าซ่อมให้โจทก์แล้ว 87,500 บาท ค้างชำระอีก 15,500 บาท ซึ่งโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ แต่โจทก์เรียกร้องเงินในส่วนนี้เพียง 15,000 บาท ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าซ่อมแม่พิมพ์ที่ค้างเป็นเงิน 15,500 บาท จึงเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงใช้อำนาจตามมาตรา 142(5)ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247 หยิบยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขาดนัดพิจารณาคดีแพ่ง: ผลของการไม่มาศาลและคำแถลงของจำเลยที่ไม่ชัดเจน
แม้ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความในวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งมีหน้าที่สืบก่อน แต่เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้อนุญาตให้ทนายโจทก์ถอนตัวและให้เลื่อนคดีไปนัดสืบพยานโจทก์ในนัดต่อมา การที่โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาล ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นชอบที่จะจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ส่วนการที่ทนายจำเลยแถลงขอให้ศาลพิจารณาสั่งตามที่เห็นสมควร ก็มิใช่คำแถลงที่มีความหมายในทางที่จำเลยประสงค์หรือตั้งใจจะให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีแพ่งหลังทนายโจทก์ขอถอนตัว และผลของการไม่แจ้งเหตุขัดข้อง
ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความในวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน แต่เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้อนุญาตให้ถอนตัวและให้เลื่อนคดีไปนัดสืบพยานโจทก์ในนัดต่อมา โดยทนายโจทก์ลงชื่อทราบคำสั่งและวันนัดสืบพยานโจทก์ในรายงานกระบวนพิจารณา ต้องถือว่าโจทก์ทราบวันนัดสืบพยานโดยชอบแล้ว การที่โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเช่นนี้ จึงเป็นความผิดของโจทก์และถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ส่วนการที่ทนายจำเลยแถลงขอให้ศาลพิจารณาสั่งตามที่เห็นสมควร ก็มิใช่คำแถลงที่มีความหมายในทางที่จำเลยประสงค์หรือตั้งใจจะให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 201 เดิม ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะจำหน่ายคดีจากสารบบความได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีแพ่ง: ศาลมีดุลพินิจอนุญาตได้หากไม่ทำให้คู่ความเสียเปรียบ
การยื่นคำร้องขอถอนฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175วรรคสอง มิได้ระบุให้โจทก์ต้องแสดงเหตุผลในการถอนฟ้องให้จำเลยทราบแต่อย่างใดเพียงแต่กฎหมายห้ามไม่ให้ศาลอนุญาตโดยมิได้ฟังจำเลยก่อนเท่านั้น ส่วนที่จำเลยอ้างว่าศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจะทำให้ตนเสียเปรียบในการต่อสู้คดีนั้น ก็ปรากฏว่าคดียังไม่มีการนำพยานทั้งของโจทก์และจำเลยเข้าสืบ ฉะนั้น หากจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา การที่โจทก์ขอถอนฟ้องก็มิได้ทำให้โจทก์ได้เปรียบหรือทำให้จำเลยเสียเปรียบในเชิงคดีแต่อย่างใด จึงเห็นควรอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9777/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จต่อศาลในคดีแพ่งเกี่ยวกับเช็คชำระหนี้ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อ ชำระหนี้ค่าสินค้าปุ๋ยที่ซื้อไปจากโจทก์ว่าเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เป็นค้ำประกันเป็นเช็คไม่มีมูลหนี้และจำเลยได้ชำระ ค่าสินค้าให้โจทก์แล้วแต่โจทก์ยังออกใบเสร็จรับเงินให้ไม่ครบ ทั้ง ๆ ที่เช็คดังกล่าวจำเลยออกเช็คชำระหนี้ค่าสินค้าปุ๋ยให้โจทก์เช่นนี้ คำเบิกความของจำเลยจึงเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9002/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง: หนังสือรับสภาพหนี้ไม่ระงับหนี้เดิม
ก่อนผู้ตายถึงแก่กรรม ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งซึ่งถึงที่สุด แม้ผู้ตายจะทำหนังสือรับสภาพหนี้พิพาทซึ่งเป็นการรับสภาพหนี้ตามคำพิพากษาคดีดังกล่าว ก็ไม่ทำให้หนี้ที่ผู้ตายมีอยู่ตามคำพิพากษาสิ้นไป การรับสภาพหนี้ดังกล่าวก็เพียงขยายเวลาการผ่อนชำระหนี้และงดเว้นเฉพาะดอกเบี้ย ซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ที่ผู้ตายจะต้องชำระแก่โจทก์เท่านั้น หนี้ประธานยังไม่ระงับคู่กรณีไม่ได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้แต่อย่างใด มูลหนี้เดิมยังมีอยู่ ทั้งไม่ใช่เป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่แล้วให้เสร็จสิ้นไป หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่หรือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและไม่ได้ก่อให้เกิดหนี้ขึ้นใหม่ การที่โจทก์นำมูลหนี้เดิมซึ่งโจทก์เคยฟ้องผู้ตายและศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าวมาฟ้องจำเลยซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายในครั้งหลังโดยอาศัยหนังสือรับสภาพหนี้พิพาทนั้น จึงเป็นการฟ้องซ้ำกับคดีเดิม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8269/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงจากคดีอาญาที่คดีแพ่งต้องถือตามต้องวินิจฉัยชี้ขาดโดยตรง และคดีมีทุนทรัพย์ที่ห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่คดีแพ่งจะต้องถือตามดังที่บัญญัติไว้ในป.วิ.อ. มาตรา 46 ต้องเป็นเท็จจริงที่วินิจฉัยไว้โดยตรงในคดีอาญาแล้ว เมื่อคีดดังกล่าวศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเพียงว่ามีเหตุให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ที่ดินพิพาทอาจเป็นของจำเลยก็ได้ ยังฟังไม่แจ้งชัดว่าเป็นของโจทก์ ตามพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จึงเท่ากับว่าคดีดังกล่าวศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทโดยล้อมรั้วในที่ดินที่โจทก์ครอบครองอยู่เป็นเนื้อประมาณ 50 ตารางวา โดยมีเจตนายึดถือเป็นของจำเลย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วออกไปและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าจำเลยล้อมรั้วบริเวณที่ดินที่จำเลยครอบครอง ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง กรณีเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่พิพาทขณะโจทก์ยื่นฟ้องมีราคา 10,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8269/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการรับฟังข้อเท็จจริงจากคดีอาญาในคดีแพ่ง และข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีมีทุนทรัพย์
ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่คดีแพ่งจะต้องถือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 นั้น ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยไว้ในคดีอาญาแล้ว เมื่อคดีอาญาศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเพียงว่ามีเหตุให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ดินพิพาทอาจเป็นของจำเลยก็ได้ ยังฟังไม่ได้แจ้งชัดว่าเป็นของโจทก์ตามพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงเท่ากับว่าคดีดังกล่าวศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงรับฟังเป็นยุติในคดีนี้ไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทโดยล้อมรั้วครอบครองอยู่ประมาณ 50 ตารางวา ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วออกไปและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าจำเลยล้อมรั้วบริเวณที่ดินที่จำเลยครอบครอง ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้องดังนี้ กรณีเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่พิพาทจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่พิพาทขณะโจทก์ยื่นฟ้องมีราคา 10,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8088-8089/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับสิทธิเรียกร้องคดีอาญาจากการประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งเกี่ยวกับเช็ค
มูลหนี้ตามเช็คทั้งสองสำนวนนี้เป็นมูลหนี้รายเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งและศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ไปแล้ว ย่อมทำให้สิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ตามเช็คทั้งสองสำนวนนี้เป็นอันระงับไป โจทก์คงมีแต่สิทธิที่จะเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 เท่านั้น แม้จำเลยที่ 2จะมิได้ถูกฟ้องและยอมความในคดีแพ่งด้วยก็ตาม โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทได้อีก เพราะมูลหนี้ดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทเพียงฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 เท่านั้น
of 122