พบผลลัพธ์ทั้งหมด 347 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1633/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: ความผิดกรรมเดียวและความรับผิดชอบของผู้ร่วมกระทำ
การที่ผู้เสียหายและผู้ตายอยู่ใกล้กันและจำเลยกับพวกใช้ไม้ตีและใช้มีดแทงผู้เสียหายจนล้มลง ระหว่างนั้นพวกจำเลยอีกคนหนึ่งใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยจำเลยยืนถือไม้ พวกของจำเลยยืนถือมีดอยู่ข้าง ๆ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งคราวเดียวกันสืบเนื่องจากการโต้เถียงถึงกับจำเลยจะชกต่อยกับผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกเข้าไปห้าม พฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันมาทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกในคราวเดียวกัน พวกจำเลยใช้มีดปาดตาลยาวประมาณ 1 คืบ เป็นอาวุธแทงผู้ตายถูกที่เหนือราวนมข้างขวาทะลุเข้าปอด เลือดตกในอกขวามาก เป็นการเลือกแทงบริเวณอวัยวะสำคัญ และแทงอย่างแรง ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในชั่วระยะเวลาไม่นาน เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า การร่วมกันไปใช้ไม้และมีดปลายแหลมเป็นอาวุธตีและแทงผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกที่ไม่ชอบกัน เห็นได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาต้องการทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกทุกคนไม่แบ่งแยกว่าใครเป็นใคร ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียวกันแม้จะมีการกระทำหลายหน ต่อบุคคลหลายคนด้วยกันก็อยู่ภายในเจตนาอันนั้น การพยายามฆ่าผู้เสียหายและฆ่าผู้ตายถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียว ซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3372/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับขี่รถจักรยานยนต์แซง การกระทำที่อาจเกิดอันตรายและเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงปราศจากความระมัดระวัง เมื่อจำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์แซงรถยนต์ปิกอัพแล้วหากจำเลยต้องการจะแซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับขี่ จำเลยสามารถที่จะแซงได้ทันทีเพราะขณะนั้นบนถนนไม่มีรถแล่นสวนมาแต่การที่จำเลยไม่แซงทันทีโดยปักปาดหน้ารถยนต์ปิกอัพเข้าทางด้านซ้ายเสียก่อนแล้วจึงหักออกทางด้านขวาเพื่อแซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับขี่อีกนั้น เป็นการกระทำที่อาจเกิดอันตรายได้เนื่องจากระยะห่างระหว่างรถยนต์ปิกอัพกับรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับขี่นั้นมีเพียงไม่เกิน 15 เมตร น้อยเกินไปกว่าที่จำเลยจะกระทำเช่นนั้นได้ และการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ทั้งสองคันชนกันล้มกลิ้งครูดไปตามถนน เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันทำร้ายจนถึงแก่ความตาย: การพิพากษาตัวการร่วม และการพิจารณาเจตนา
จำเลยทั้งสองทราบดีว่า ส. กับผู้ตายมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนวันเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองกับ ส. เดินไปพบผู้ตายกับพวกส. ชักมีดปลายแหลมไล่แทงทำร้ายผู้ตาย จำเลยทั้งสองได้วิ่งตามส.เข้าไปด้วยเมื่อส. แทงผู้ตายแล้ว จำเลยทั้งสองได้ช่วยกันกระทืบผู้ตายซ้ำ แล้วจำเลยทั้งสองกับ ส. ก็ได้หลบหนีไปด้วยกันแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยกับพวกที่จะร่วมกันแทงทำร้ายผู้ตายมาแต่ต้น แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ได้แทงผู้ตาย เพียงแต่กระทืบผู้ตายอันเป็นการทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจก็ตาม เมื่อการตายของผู้ตายเกิดจากการแทงทำร้ายของพวกจำเลยก็ย่อมถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วย จำเลยทั้งสองกับพวกมาพบผู้ตายโดยบังเอิญ แล้วได้ร่วมกันทำร้ายผู้ตายทันที ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีแผนการหรือไตร่ตรองไว้ก่อนในการที่จะฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 930/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าร่วมกันทำร้ายถึงแก่ความตาย มีการไตร่ตรองไว้ก่อน
ก่อนเกิดเหตุ ล. พวกจำเลยมาชวนผู้ตายและ ร. ไปดื่มสุราที่บ้านจำเลยโดยมี ด. พี่ชายจำเลยร่วมดื่มสุราด้วย ขณะดื่มสุราผู้ตายพูดขอไถ่รถจักรยานยนต์ที่จำนำไว้กับ ด. จำเลยไม่ยอมให้ไถ่หลังจากนั้นจำเลยกับพวกก็เข้ากลุ้มรุมทำร้ายผู้ตายโดยจำเลยใช้ขวดสุราตีศีรษะผู้ตาย เมื่อผู้ตายและ ร. วิ่งหนี จำเลยก็ถือขวานวิ่งไล่ตามฟันผู้ตายถูกที่ไหล่ซ้ายและท้ายทอยล้มคว่ำลงเป็นแผลฉกรรจ์ เมื่อ ร. ช่วยเหลือนำผู้ตายกลับที่พัก จำเลยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ให้ ล. นั่งซ้อนท้ายพร้อมมีปืนลูกซองยาวซึ่ง ด. มอบให้ตามไปยิงผู้ตาย ณ ที่พักของผู้ตาย จนถึงแก่ความตายในที่สุด การกระทำของจำเลยส่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยกับพวกที่มุ่งมั่นจะเอาชีวิตผู้ตายให้จงได้เป็นพฤติการณ์ที่เข้าลักษณะไตร่ตรองไว้ก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 930/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จากการทำร้ายร่างกายต่อเนื่องจนถึงแก่ความตาย
ก่อนเกิดเหตุ ล. พวกจำเลยมาชวนผู้ตายและ ร. ไปดื่มสุราที่บ้านจำเลยโดยมี ด. พี่ชายจำเลยร่วมดื่มสุราด้วย ขณะดื่มสุราผู้ตายพูดขอไถ่รถจักรยานยนต์ที่จำนำไว้กับ ด. จำเลยไม่ยอมให้ไถ่หลังจากนั้นจำเลยกับพวกก็เข้ากลุ้มรุมทำร้ายผู้ตายโดยจำเลยใช้ขวดสุราตีศีรษะผู้ตาย เมื่อผู้ตายและ ร. วิ่งหนี จำเลยก็ถือขวานวิ่งไล่ตามฟันผู้ตายถูกที่ไหล่ซ้ายและท้ายทอยล้มคว่ำลงเป็นแผลฉกรรจ์ เมื่อ ร. ช่วยเหลือนำผู้ตายกลับที่พัก จำเลยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ให้ ล. นั่งซ้อนท้ายพร้อมมีปืนลูกซองยาวซึ่ง ด. มอบให้ตามไปยิงผู้ตาย ณ ที่พักของผู้ตาย จนถึงแก่ความตายในที่สุด การกระทำของจำเลยส่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยกับพวกที่มุ่งมั่นจะเอาชีวิตผู้ตายให้จงได้เป็นพฤติการณ์ที่เข้าลักษณะไตร่ตรองไว้ก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: ความรับผิดของจำเลยเมื่อญาติผู้ป่วยยุติการรักษา
จำเลยใช้ของแข็งตีทำร้ายผู้ตายมีบาดแผลฟกช้ำดำเขียวทั่วร่างกายกับมีบาดแผลฉีกขาดที่ศีรษะยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ลึกประมาณ1.5 เซนติเมตร มีบาดแผลฉีกขาดที่หัวคิ้วซ้ายยาวประมาณ 3 เซนติเมตรลึกประมาณ 1 เซนติเมตร มีบาดแผลถลอกที่ขากรรไกรและข้อศอกซ้ายกระดูกขากรรไกรหัก กระดูกซี่โครงร้าว 2 ซี่ ฟังได้ว่าจำเลยทำร้ายผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่า หลังจากที่ผู้ตายถูกทำร้ายแล้ว ได้มีการนำตัวผู้ตายไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล แพทย์ได้รักษาผู้ตายเบื้องแรกโดยให้น้ำเกลือใส่ท่อช่วยหายใจ ผ่าตัดใส่ท่อระบายลมในโพรงปอดข้างซ้ายเพราะมีลมรั่วออกมาจากทางเดินหายใจ แล้วใส่เครื่องช่วยหายใจให้ผู้ตายด้วย และแพทย์ผู้รักษามีความเห็นว่า หากให้ผู้ตายรักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อไปแล้ว โอกาสที่ผู้ตายจะมีชีวิตรอดมีมากกว่าผู้ตายจะถึงแก่ความตาย การที่ญาติผู้ตายกระทำให้การรักษาสิ้นสุดลงโดยการดึงเครื่องช่วยหายใจ และท่อช่วยหายใจออก แล้วพาผู้ตายกลับบ้าน และผู้ตายถึงแก่ความตายในคืนนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย หาใช่เป็นผลจากการกระทำของจำเลยโดยตรงไม่ เพราะเมื่อผู้ตายอยู่ในความดูแลรักษาของแพทย์แล้ว ผู้ตายย่อมเป็นผู้อยู่ในสภาพที่มีโอกาสมีชีวิตอยู่รอดสูงการกระทำของจำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานพยายามฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายต่อเนื่องทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายเร็วขึ้น ถือเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา
จำเลยใช้ไม้ขนาดหน้า ๓ นิ้วฟุต ยาวราว ๑ ศอก ไม่ปรากฏว่าหนาเท่าใดตีผู้ตายเมื่อผู้ตายล้มลงก็เข้าไปกระทืบซ้ำ และเมื่อจำเลยต้อนผู้ตายไปติดอยู่ที่รถปิกอัพ จำเลยก็จับศีรษะผู้ตายโขกกับเสาเหล็กโครงหลังคารถปิกอัพซึ่งเป็นเสากลมกลวงขนาดโตไม่เกิน ๑ นิ้ว กับเมื่อผู้ตายเดินกลับบ้านจำเลยก็หักไม้รั้วบ้านซึ่งไม่ปรากฏว่าเป็นไม้ขนาดเท่าใดตีผู้ตายแล้วก็เลิกรา กันไป ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย คงถือได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้ตายเท่านั้น เมื่อปรากฏว่า ก่อนถูกจำเลยทำร้ายร่างกายผู้ตายยังมีอาการปกติดีอยู่ไม่ปรากฏว่ามีอาการผิดปกติอันส่อว่าจะถึงแก่ความตายในเวลาอันรวดเร็ว กลับถึงแก่ความตายหลังจากถูกจำเลยทำร้ายเพียงประมาณ ๑๗ ชั่วโมงแม้แพทย์จะเห็นว่าผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยโรคตับแข็ง มิได้ตายเพราะบาดแผลที่ถูกจำเลยทำร้ายก็ตาม ก็ถือว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการถูกจำเลยทำร้ายเพราะทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนาตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นการฆ่าโดยไม่เจตนา
จำเลยใช้ไม้ขนาดหน้า 3 นิ้วฟุต ยาวราว 1 ศอก ไม่ปรากฏความหนาตีผู้ตาย เมื่อผู้ตายล้มลงก็เข้าไปกระทืบซ้ำ และเมื่อจำเลยต้อนผู้ตายไปติดอยู่ที่รถปิกอัพจำเลยก็จับศีรษะผู้ตายโขกกับเสาเหล็กโครงหลังคารถซึ่งเป็นเสากลมกลวงขนาดโตไม่เกิน 1 นิ้ว กับเมื่อผู้ตายเดินกลับบ้านจำเลยก็หักไม้รั้วบ้านโดยไม่ปรากฏว่าเป็นไม้ใหญ่ขนาดเท่าใดตีผู้ตายแล้วเลิกรากันไปพฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย คงมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายผู้ตายเท่านั้น ก่อนผู้ตายจะถูกจำเลยทำร้าย ผู้ตายมีอาการปกติดีอยู่ ไม่ได้ส่อว่าจะถึงแก่ความตายด้วยโรคตับแข็งซึ่งผู้ตายเป็นอยู่ในเร็ววันการที่ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังจากถูกจำเลยทำร้ายเพียงประมาณ17 ชั่วโมง สภาพศพภายในสมองบวมน้ำ กระดูกซี่โครงซี่ที่ 2และที่ 4 ข้างขวาช้ำมีรอยแตกร้าว ส่วนสภาพศพภายนอกมีรอยช้ำขนาดใหญ่ที่ใบหน้าด้านขวาตั้งแต่คิ้วถึงคางและขอบตาซ้าย แม้แพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพจะเบิกความว่าผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยโรคตับแข็งไม่ได้ตายเพราะบาดแผลที่ถูกจำเลยทำร้ายแต่ก็ไม่ได้ยืนยันว่าการที่จำเลยทำร้ายผู้ตายไม่เป็นเหตุทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเร็วขึ้น จึงถือได้ว่าการกระทำของจำเลยทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเร็วขึ้นกว่าที่ควร จำเลยต้องมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายต่อเนื่องทำให้ถึงแก่ความตาย ถือเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายเร็วขึ้น
จำเลยใช้ไม้ขนาดหน้า 3 นิ้วฟุต ยาวราว 1 ศอก ไม่ปรากฏว่าหนาเท่าใดตีผู้ตายเมื่อผู้ตายล้มลงก็เข้าไปกระทืบซ้ำ และเมื่อจำเลยต้อนผู้ตายไปติดอยู่ที่รถปิกอัพ จำเลยก็จับศีรษะผู้ตายโขกกับเสาเหล็กโครงหลังคารถปิกอัพซึ่งเป็นเสากลมกลวงขนาดโตไม่เกิน 1 นิ้ว กับเมื่อผู้ตายเดินกลับบ้านจำเลยก็หักไม้รั้วบ้านซึ่งไม่ปรากฏว่าเป็นไม้ขนาดเท่าใดตีผู้ตายแล้วก็เลิกรา กันไป ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย คงถือได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้ตายเท่านั้น เมื่อปรากฏว่า ก่อนถูกจำเลยทำร้ายร่างกายผู้ตายยังมีอาการปกติดีอยู่ไม่ปรากฏว่ามีอาการผิดปกติอันส่อว่าจะถึงแก่ความตายในเวลาอันรวดเร็ว กลับถึงแก่ความตายหลังจากถูกจำเลยทำร้ายเพียงประมาณ 17 ชั่วโมงแม้แพทย์จะเห็นว่าผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยโรคตับแข็ง มิได้ตายเพราะบาดแผลที่ถูกจำเลยทำร้ายก็ตาม ก็ถือว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการถูกจำเลยทำร้ายเพราะทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนาตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 603/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการยิงในระยะประชิด แม้บาดแผลไม่ถึงแก่ชีวิต
ค. และ บ. ผู้เสียหายทั้งสองพากันเดิน จะไปเที่ยวที่งานวัด ค. เห็นจำเลยกำลังตบตี ภริยาที่ถนน จึงได้ พูดจาว่ากล่าวจำเลยจำเลยไม่พอใจพูดท้าให้ ค. ยิงต่อสู้ กับจำเลย แล้วจำเลยได้ชักอาวุธปืนลูกซองยิงผู้เสียหายทั้งสองในระยะเพียง ๑ - ๒ วากระสุนปืนถูก ผู้เสียหายทั้งสองหลายแห่ง ค. มีบาดแผลถึง ๑๐ แห่งแพทย์ผู้รักษาเห็นว่าหากไปรักษาบาดแผลช้า กว่า ๖ ชั่วโมง จะต้องถึงแก่ความตาย เช่นนี้ แสดงว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงอาจถูก ผู้เสียหายทั้งสองถึงแก่ความตายได้แม้ว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงจะถูก ผู้เสียหายทั้งสองที่ต้นขาเพียงแต่ เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ก็ถือได้ว่าจำเลยได้ กระทำไปโดย มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองแล้ว จำเลยมีความผิดฐาน พยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง.