พบผลลัพธ์ทั้งหมด 790 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฎีกาและการแจ้งคำสั่งศาล: จำเลยไม่ทราบคำสั่ง จึงไม่ถือเป็นการทิ้งฎีกา
แม้ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาได้ และมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในวันเดียวกันก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในภายหลัง ซึ่งไม่ปรากฏในสำนวนว่าจำเลยที่ 1 ได้ลงนามทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่รับฎีกาและให้จำเลยที่ 1 นำส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้โจทก์เพื่อแก้ฎีกา ทั้งไม่ปรากฏว่ามีหมายแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบคำสั่งดังกล่าว ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ทราบคำสั่งรับฎีกาของศาลชั้นต้นที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 7 วันนั้นจะถือว่าจำเลยที่ 1 เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด อันเป็นการทิ้งฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2),247ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4070/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาซ้ำ เมื่อศาลเคยมีคำสั่งแล้วว่าไม่มีเหตุอันสมควร
จำเลยเคยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีของจำเลยไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุด คดีจึงฟังได้เป็นยุติว่าคดีจำเลยไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ครั้งใหม่โดยอ้างเหตุว่ายากจนลงกว่าเดิม แม้จะฟังได้ตามข้ออ้างของจำเลย ศาลก็ไม่อาจอนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4027/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้จัดการมรดกต่างชาติ: การขัดกันแห่งกฎหมายและข้อจำกัดตามคำสั่งศาล
ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายฯ มิได้บัญญัติเรื่องอำนาจของผู้จัดการมรดกว่าจะต้องใช้ กฎหมายใดบังคับ กรณีจึงต้องใช้กฎเกณฑ์ทั่วไปแห่งกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลฯ ตามมาตรา 3 ซึ่งอาจเป็นกฎหมายสัญชาติหรือกฎหมายภูมิลำเนา โจทก์มีสัญชาติอังกฤษและมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอังกฤษ ไม่ว่าจะใช้หลักกฎหมายสัญชาติหรือกฎหมายภูมิลำเนา กฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดีย่อมได้แก่กฎหมายแห่งประเทศอังกฤษ แต่โจทก์มิได้นำสืบให้ศาลเห็นเป็นที่ชัดแจ้งว่ากฎหมายอังกฤษบัญญัติเรื่องอำนาจของผู้จัดการมรดกไว้อย่างไร คงมีเพียงผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่าผู้จัดการที่เหลือเพียงคนเดียวสามารถจัดการมรดกของผู้ตายต่อไปได้ ซึ่งเลื่อนลอยไม่อาจรับฟังได้ กรณีจึงต้องใช้กฎหมายภายในประเทศไทยบังคับตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย
โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายซึ่งเป็นคนสัญชาติอังกฤษตามคำสั่งศาลแห่งประเทศอังกฤษร่วมกับ จ. เมื่อ จ. ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกคนหนึ่งถึงแก่ความตาย โจทก์เพียงคนเดียวจะฟ้องคดีตามลำพังโดยยังมิได้ขอให้ศาลมี คำสั่งอนุญาตให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียว ย่อมเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่อาจนำ ป.พ.พ. มาตรา 1715 มาใช้บังคับได้
โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายซึ่งเป็นคนสัญชาติอังกฤษตามคำสั่งศาลแห่งประเทศอังกฤษร่วมกับ จ. เมื่อ จ. ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกคนหนึ่งถึงแก่ความตาย โจทก์เพียงคนเดียวจะฟ้องคดีตามลำพังโดยยังมิได้ขอให้ศาลมี คำสั่งอนุญาตให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียว ย่อมเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่อาจนำ ป.พ.พ. มาตรา 1715 มาใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2942/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน และอำนาจฟ้องเมื่อวางเงินไม่ครบตามคำสั่งศาล
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 แม้เป็นกฎหมายที่มีความมุ่งหมายคุ้มครองการใช้แรงงานอย่างเป็นธรรมและมีบทบัญญัติในการคุ้มครองแรงงานไว้โดยเฉพาะ แต่ก็มิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการนับระยะเวลาไว้เป็นพิเศษแต่อย่างใด การนับระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้จึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ. บรรพ 1 ลักษณะ 5 เรื่องระยะเวลา อันเป็นบทบัญญัติทั่วไป
การที่โจทก์ไม่พอใจคำสั่งของจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานที่สั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยร่วมซึ่งเป็นลูกจ้าง และโจทก์ประสงค์จะนำคดีไปสู่ศาลแรงงานกลางเพื่อให้ชี้ขาดนั้น โจทก์ต้องนำต้นเงินค่าชดเชยและดอกเบี้ยตามจำนวนที่คำนวณได้ถึงวันฟ้องไปวางต่อศาลแรงงานกลางตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 125 วรรคสาม เมื่อโจทก์นำคดีมาสู่ศาลแรงงานกลางเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยดังกล่าว ทั้งการวินิจฉัยในส่วนค่าชดเชยก็มีผลกระทบโดยตรงถึงดอกเบี้ยของค่าชดเชยตามคำสั่งจำเลยด้วย โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่าโจทก์ติดใจโต้แย้งคำสั่งของจำเลยเฉพาะค่าชดเชย ไม่ติดใจโต้แย้งในเรื่องดอกเบี้ย เมื่อโจทก์เพียงแต่นำเงินค่าชดเชยมาวางต่อศาลแรงงานกลางโดยมิได้นำดอกเบี้ยในค่าชดเชยมาวางด้วย จึงต้องถือว่าโจทก์วางเงินไม่ครบถ้วนตามคำสั่งของจำเลย เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 125 วรรคสาม โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลย
การที่โจทก์ไม่พอใจคำสั่งของจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานที่สั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยร่วมซึ่งเป็นลูกจ้าง และโจทก์ประสงค์จะนำคดีไปสู่ศาลแรงงานกลางเพื่อให้ชี้ขาดนั้น โจทก์ต้องนำต้นเงินค่าชดเชยและดอกเบี้ยตามจำนวนที่คำนวณได้ถึงวันฟ้องไปวางต่อศาลแรงงานกลางตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 125 วรรคสาม เมื่อโจทก์นำคดีมาสู่ศาลแรงงานกลางเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยดังกล่าว ทั้งการวินิจฉัยในส่วนค่าชดเชยก็มีผลกระทบโดยตรงถึงดอกเบี้ยของค่าชดเชยตามคำสั่งจำเลยด้วย โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่าโจทก์ติดใจโต้แย้งคำสั่งของจำเลยเฉพาะค่าชดเชย ไม่ติดใจโต้แย้งในเรื่องดอกเบี้ย เมื่อโจทก์เพียงแต่นำเงินค่าชดเชยมาวางต่อศาลแรงงานกลางโดยมิได้นำดอกเบี้ยในค่าชดเชยมาวางด้วย จึงต้องถือว่าโจทก์วางเงินไม่ครบถ้วนตามคำสั่งของจำเลย เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 125 วรรคสาม โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2125-2128/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเกี่ยวกับการวางค่าขึ้นศาล และอายุความคดีละเมิด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันที่ยื่นคำร้องสอดว่า คดีของผู้ร้องสอดเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้ผู้ร้องสอดเสียค่าขึ้นศาลให้ถูกต้องภายในนัดหน้าครั้นถึงวันนัดผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางค่าธรรมเนียมศาลและขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดทุนทรัพย์ด้วย ศาลชั้นต้นสอบทนายผู้ร้องสอดเกี่ยวกับราคาทรัพย์พิพาทแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องสอดแถลงจำนวนทุนทรัพย์และเสียค่าขึ้นศาลให้ครบถ้วนในนัดต่อไป มิฉะนั้นจะสั่งว่าผู้ร้องสอดทิ้งคำร้องสอด เมื่อถึงวันนัดผู้ร้องสอดได้ยื่นต่อศาลแต่เพียงหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินพิพาทว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้กำหนดราคาประเมินไว้ตารางวาละ 1,500 บาท และขอถือเป็นทุนทรัพย์ โดยผู้ร้องสอดไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง คำร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ถือเป็นคำฟ้องตามมาตรา 1(3) จึงเป็นการทิ้งฟ้องตามมาตรา 174(2)
ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาท โดย อ. เจ้าของเดิมนำไปขายฝากไว้แก่โจทก์แล้วไม่ได้ไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนด โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าตึกแถวดังกล่าวจาก อ. มาแต่เดิมอยู่ในตึกแถวนั้นต่อไป ซึ่งได้บอกกล่าวให้จำเลยรับทราบแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยจึงเป็นการอยู่ในตึกแถวของโจทก์โดยละเมิดเป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่และการทำละเมิดของจำเลยชัดเจนแล้ว ไม่เคลือบคลุม
จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยเพิกเฉยไม่ยอมออกไปจากตึกแถวและที่ดินพิพาทภายในกำหนดเวลาที่โจทก์บอกกล่าว และยังคงอยู่ในตึกแถวและที่ดินพิพาทนั้นตลอดมาจนกระทั่งโจทก์ฟ้องอันเป็นการละเมิดที่ต่อเนื่องคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาท โดย อ. เจ้าของเดิมนำไปขายฝากไว้แก่โจทก์แล้วไม่ได้ไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนด โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าตึกแถวดังกล่าวจาก อ. มาแต่เดิมอยู่ในตึกแถวนั้นต่อไป ซึ่งได้บอกกล่าวให้จำเลยรับทราบแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยจึงเป็นการอยู่ในตึกแถวของโจทก์โดยละเมิดเป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่และการทำละเมิดของจำเลยชัดเจนแล้ว ไม่เคลือบคลุม
จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยเพิกเฉยไม่ยอมออกไปจากตึกแถวและที่ดินพิพาทภายในกำหนดเวลาที่โจทก์บอกกล่าว และยังคงอยู่ในตึกแถวและที่ดินพิพาทนั้นตลอดมาจนกระทั่งโจทก์ฟ้องอันเป็นการละเมิดที่ต่อเนื่องคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1714/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอนาถาและการยุติของคำสั่งศาล การยื่นคำร้องใหม่เพื่อขอแสดงหลักฐานเพิ่มเติมหลังพ้นกำหนดอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาเนื่องจากคดีของโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย กลับยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าคดีของตนมีมูลที่จะฟ้องร้องและเป็นคนยากจน ดังนั้นปัญหาที่ว่าคดีโจทก์มีมูลที่จะฟ้องร้องหรือไม่ ย่อมยุติแล้วตามคำสั่งศาลชั้นต้น ถึงหากศาลจะอนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมและได้ความว่าโจทก์เป็นคนยากจน ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่จะพิจารณาคำขอของโจทก์นั้นใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1616/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาต้องยื่นพร้อมอุทธรณ์ หากไม่ยื่นถูกต้องทันเวลา ต้องอุทธรณ์คำสั่งศาล ไม่ใช่ขอให้เพิกถอน
จำเลยอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ แต่จำเลยไม่มาสาบานตัว ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางสั่งยกคำร้องเนื่องจากไม่ได้ยื่นพร้อมอุทธรณ์ เมื่อศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยด้วยเหตุที่จำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอนาถาดังกล่าวพร้อมอุทธรณ์ ซึ่งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคแรกแล้วนั้น หากจำเลยเห็นว่าคำสั่งของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ให้ยกคำร้องดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยข้อกฎหมายโดยไม่ถูกต้องอย่างไร จำเลยก็ต้องอุทธรณ์คำสั่งศาลดังกล่าว ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่มีคำสั่งตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 38 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคห้า ไม่ใช่กรณีที่จำเลยจะขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1616/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาต้องยื่นพร้อมอุทธรณ์ หากไม่ยื่นถูกต้องตามกฎหมายต้องอุทธรณ์คำสั่ง ไม่ใช่ขอเพิกถอน
จำเลยอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ แต่จำเลยไม่มาสาบานตัวศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาอีก ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ด้วยเหตุที่จำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาพร้อมอุทธรณ์ อันเป็นการวินิจฉัยในข้อกฎหมายเกี่ยวกับการยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยว่าชอบด้วยบทกฎหมายหรือไม่ หากจำเลยเห็นว่าเป็นการวินิจฉัยโดยไม่ถูกต้องจำเลยก็ต้องอุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพ.ศ. 2539 มาตรา 38 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคห้า ไม่ใช่กรณีที่จำเลยจะขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยได้ โดยอ้างว่าคำสั่งศาลดังกล่าวเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1232/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลคดีเลือกตั้งเป็นที่สุดแล้ว ไม่อุทธรณ์/ฎีกาได้ แม้มีข้อผิดพลาดทางกฎหมาย
ผู้ร้องทั้งสี่ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลฯ มาตรา 57เพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลซึ่งมาตรา 58 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ศาลดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยเร็ว โดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการเลือกตั้งหรือผู้ได้รับเลือกตั้งที่มีส่วนได้เสียมีโอกาสต่อสู้คัดค้าน และเมื่อศาลสั่งอย่างใดแล้วให้แจ้งคำสั่งไปยังเทศบาลโดยมิชักช้า คำสั่งศาลนั้นให้เป็นที่สุด ดังนั้นเมื่อผู้คัดค้านทั้งแปดผู้ได้รับเลือกตั้งยื่นคำคัดค้านแล้วว่าตนได้รับการเลือกตั้งมาโดยชอบและต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ส่วนผู้คัดค้านที่ 4และที่ 5 ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ถือได้ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามความหมายของมาตรา 58 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นได้แจ้งคำสั่งไปยังเทศบาลแล้วคำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดทุกกรณีคู่ความไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมายฉะนั้น การที่ผู้คัดค้านทั้งแปดอุทธรณ์ในข้อกฎหมายว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 เนื่องจากมิได้วินิจฉัยว่าคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่เคลือบคลุมหรือไม่ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 รับและวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งแปดจึงเป็นการไม่ชอบ และเมื่อฎีกาของผู้คัดค้านทั้งแปดต้องห้ามแล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาดังกล่าวไว้จึงไม่ชอบเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1192/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล การไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลย
คดีแพ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ และกำหนดเวลาให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยในวันที่ยื่นอุทธรณ์ โจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยชอบแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ จึงเป็นการทิ้งอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า โจทก์มีโอกาสชนะคดีก็ดี ทนายจำเลยทราบว่าโจทก์ยื่นอุทธรณ์แล้วแต่ไม่ยอมรับสำเนาอุทธรณ์ไปจากศาลก็ดี เจ้าพนักงานศาลและทนายจำเลยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์ยังไม่ได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยตามคำสั่งศาลชั้นต้นก็ดี หาใช่ข้ออ้างให้การกระทำของโจทก์ไม่เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไม่