พบผลลัพธ์ทั้งหมด 553 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6337/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินค่ารายปีทรัพย์สินเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน การเทียบเคียงค่าเช่าและอัตราดอกเบี้ย
เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์และจำเลยว่าในเขตของหน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรีจำเลยที่1นั้นมีลักษณะของทรัพย์สินขนาดพื้นที่ทำเลที่ตั้งและบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์คล้ายคลึงกันกับทรัพย์สินของโจทก์มีการให้เช่ากันอันสามารถนำค่าเช่ามาเทียบเคียงในการประเมินค่ารายปีทรัพย์สินของโจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีของทรัพย์สินลงวันที่30มีนาคม2535ได้พนักงานเจ้าหน้าที่จึงต้องประเมินค่ารายปีแห่งทรัพย์สินขึ้นเองให้เห็นได้ว่าเป็นจำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่งๆตามความหมายที่บัญญัติไว้ในมาตรา8วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ.2475โดยหาฐานในการคำนวณจากมูลค่าของทรัพย์สินที่ให้เช่าด้วยเหตุผลที่ว่าการให้เช่าเป็นการหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังนั้นมูลค่าของทรัพย์สินที่ให้เช่าย่อมเป็นสิ่งที่ผู้ให้เช่าต้องคำนึงถึงและนำมาใช้เป็นฐานของการคำนวณหาจำนวนเงินค่าเช่าได้กล่าวคือทรัพย์สินมีมูลค่าน้อยก็สมควรได้ค่าเช่าน้อยกว่าทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากและค่าเช่านั้นเกิดขึ้นตามระยะเวลาของการเช่าหรือระยะเวลาในการใช้ทรัพย์ที่เช่าใกล้เคียงกับประโยชน์ที่ผู้ฝากเงินได้รับดอกเบี้ยจากธนาคารตามฐานของจำนวนเงินที่ฝากประกอบระยะเวลาที่ฝากดังนั้นอัตราดอกเบี้ยจึงนำมาเทียบเคียงเพื่อใช้ในการคำนวณหาจำนวนค่าเช่าได้ด้วยโดยเหตุนี้การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีจำเลยที่2อาศัยมูลค่าทรัพย์สินคูณด้วยอัตราผลประโยชน์ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีที่เทียบเคียงมาจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารโดยที่ได้ลดมูลค่าของทรัพย์สินในส่วนที่เป็นเครื่องจักรลงให้ประมาณกึ่งหนึ่งและลดค่ารายปีลงเหลือหนึ่งในสามของค่ารายปีของทรัพย์สินนั้นรวมทั้งส่วนควบดังกล่าวแล้วนั้นย่อมเป็นการประเมินค่ารายปีขึ้นโดยประมาณด้วยกฎเกณฑ์อันสมควรและมีเหตุผลโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าการชี้ขาดตามการประเมินดังกล่าวไม่ชอบหาได้นำสืบให้เห็นว่ามีกฎเกณฑ์ใดที่สมควรและมีเหตุผลสามารถนำมาเทียบเคียงในการคำนวณหาค่าเช่าอันสมควรสำหรับทรัพย์สินรายพิพาทของโจทก์ได้เหมาะสมไปกว่านี้ศาลจึงต้องฟังว่าค่ารายปีตามคำชี้ขาดของจำเลยที่2เป็นค่ารายปีที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6070/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางทรัพย์ชำระหนี้ค่าเช่าโดยจำเลย แม้มีข้อพิพาทเรื่องสิทธิในสัญญาเช่า ถือเป็นการชำระหนี้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
การที่จำเลยนำเงินค่าเช่าไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์โดยกำหนดเงื่อนไขในการรับเงินว่าต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำสั่งศาลถึงที่สุดมาแสดงนั้น ก็เพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสองหรือบริษัท อ. เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิให้เช่าอันแท้จริงซึ่งจำเลยไม่อาจหยั่งรู้ได้แน่นอน การวางเงินของจำเลยจึงมีเหตุผลโดยชอบและมิใช่ความผิดของจำเลยจำเลยมีสิทธิที่จะวางทรัพย์ชำระเงินค่าเช่าได้อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้ค่าเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4683/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระค่าเช่าโดยมีเงื่อนไข และการโอนสิทธิเรียกร้องที่ไม่แจ้งให้ทราบ ถือเป็นการชำระหนี้ไม่สมบูรณ์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ซื้อที่ดินอันเป็นทรัพย์ที่จำเลยเช่าจากน. และพ.แล้วโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์ที่เช่าจำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อนี้ปัญหานี้ย่อมเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายที่ดินที่เช่าระหว่างโจทก์กับน. และพ.เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมสัญญาซื้อขายจึงเป็นโมฆะโจทก์มิใช่เจ้าของที่ดินที่เช่านั้นเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142 โจทก์ได้มอบให้ทนายความมีหนังสือลงวันที่22ธันวาคม2535แจ้งให้จำเลยทราบว่าน. และพ. ขายที่ดินที่จำเลยเช่าให้โจทก์แล้วให้จำเลยนำค่าเช่างวดที่จะต้องชำระภายในวันที่20มีนาคม2536มาชำระให้โจทก์ซึ่งจำเลยรับทราบแล้วเมื่อวันที่23ธันวาคม2535การที่จำเลยนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดภูเก็ตโดยมีเงื่อนไขในการวางทรัพย์ตามคำร้องขอวางทรัพย์ว่าหากโจทก์มารับเงินก็ขอให้โจทก์ทำสัญญาเช่าใหม่กับจำเลยตามเงื่อนไขในสัญญาเช่าเดิมที่น.ทำกับจำเลยเมื่อโจทก์ขอรับเงินที่จำเลยวางไว้เพื่อชำระค่าเช่าตามสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา569วรรคสองแต่ไม่อาจรับเงินได้เนื่องจากติดเงื่อนไขที่จำเลยกำหนดไว้ในการวางเงินดังกล่าวที่ว่าโจทก์ต้องทำสัญญาเช่ากับจำเลยใหม่ตามเงื่อนไขในสัญญาเช่าเดิมซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติใดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์บัญญัติรองรับไว้การที่โจทก์ไม่ประสงค์จะทำสัญญาเช่าใหม่กับจำเลยจึงมิใช่ความผิดของโจทก์ดังนั้นการวางเงินโดยมีเงื่อนไขดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยชำระค่าเช่านั้นให้โจทก์แล้วจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการโอนทรัพย์ที่เช่าดังกล่าวเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องน. มิได้แจ้งการโอนให้จำเลยทราบเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา306วรรคแรกการโอนสิทธิเรียกร้องไม่ชอบจึงถือว่าโจทก์มิได้เป็นเจ้าหนี้จำเลยและไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเห็นว่าจำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีขับไล่ผู้เช่าที่มีค่าเช่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากที่เช่า เมื่อ อสังหาริมทรัพย์ที่เช่ามีค่าเช่าขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือน ละหนึ่งหมื่นบาท จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาใน ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีขับไล่ผู้เช่าที่มีค่าเช่าไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน เป็นคดีที่ไม่อาจฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากที่เช่าเมื่ออสังหาริมทรัพย์ที่เช่ามีค่าเช่าขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทจึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์และฎีกาในคดีขับไล่ที่มีค่าเช่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ประเด็นการต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 224
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนย้ายสิ่งปลูกสร้างพร้อมบริวารออกไปจากที่พิพาทของโจทก์ซึ่งมีค่าเช่าปีละ1,000บาทจำเลยให้การเพียงว่า ช. สามีโจทก์เอาเงินจากจำเลยไปซื้อที่ดินพิพาทมิได้กล่าวอ้างโดยชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของและในการอุทธรณ์และฎีกาจำเลยก็อุทธรณ์และฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทมิได้อุทธรณ์และฎีกาในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแต่อย่างใดจึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ฟังว่าจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทและต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงไม่เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาจำเลยไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นต่อมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1734/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น: สิทธิในการเรียกค่าเช่าและคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้า
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าค้างชำระจากจำเลย จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและฟ้องแย้งเรียกค่าเช่าล่วงหน้าคืน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าตามฟ้องและไม่มีสิทธิรับเงินค่าเช่าล่วงหน้าของจำเลย เงินค่าเช่าล่วงหน้าดังกล่าวจำเลยได้ฟ้องแย้งเรียกคืนจากโจทก์และได้ฎีกาขึ้นมา แต่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาในส่วนฟ้องแย้งจึงเป็นกรณีที่คำพิพากษาของสองศาลขัดกัน ต้องถือผลตามคำพิพากษาของศาลฎีกาโจทก์จึงต้องคืนเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้แก่จำเลย ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์คืนเงินค่าเช่าดังกล่าวแก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน การเพิ่มค่ารายปีต้องมีเหตุผลสมควร และการพิจารณาค่าเช่าลานจอดรถ
กรุงเทพมหานครจำเลยที่1ประเมินค่ารายปีของอาคารโจทก์ในส่วนที่เป็นลานจอดรถและอาคารชั้นที่5โดยได้ประเมินเท่ากับค่ารายปีของปีที่ล่วงมาแล้วซึ่งในส่วนที่เป็นลาดจอดรถนั้นจำเลยที่1เคยกำหนดค่ารายปีให้เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากอาคารแม้ค่าเช่าลานจอดรถจะรวมอยู่ในค่าเช่าอาคารด้วยก็ตามเมื่อโจทก์ยอมรับว่าลานจอดรถสามารถคิดค่าเช่าได้เป็นส่วนหนึ่งเพียงแต่โจทก์คิดรวมอยู่ในค่าเช่าอาคารด้วยเท่านั้นดังนั้นจำเลยที่1ย่อมจะประเมินจำนวนเงินที่สมควรจะให้เช่าลานจอดรถได้เมื่อโจทก์ยอมชำระภาษีไปแล้วโดยมิได้ร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่เท่ากับโจทก์เห็นด้วยว่าจำเลยที่1ได้ประเมินราคาค่าเช่าอันสมควรแล้วโจทก์จึงมิอาจยกมาโต้เถียงได้อีก จำเลยที่1ประเมินค่ารายปีในส่วนเป็นอาคารชั้นล่างและชั้นที่7ถึงที่10โดยได้ประเมินเพิ่มขึ้นจากการประเมินค่ารายปีของปีที่ล่วงมาแล้วและปีก่อนหน้านั้นซึ่งตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ.2475มาตรา18การประเมินค่ารายปีจะต้องอาศัยค่ารายปีของปีที่ล่วงมาแล้วเป็นหลักในการคำนวณค่าภาษีในปีต่อมาแม้ค่ารายปีอาจจะมีค่าไม่เท่ากันแต่จำเลยที่1ก็ต้องมีเหตุผลอันสมควรที่จะเพิ่มค่ารายปีขึ้นจากค่ารายปีของปีที่ล่วงมาแล้วเมื่อปรากฏว่าอาคารต่างๆหลายอาคารที่ตั้งอยู่บนถนนเดียวกับอาคารของโจทก์จำเลยที่1ก็ประเมินค่ารายปีเท่ากับปีที่ล่วงมาแล้วดังนั้นการที่จำเลยที่1นำอาคารของโจทก์ไปเปรียบเทียบกับอาคารบริเวณใกล้เคียงแล้วประเมินค่ารายปีเฉพาะบางชั้นของอาคารโจทก์ให้สูงขึ้นจึงไม่มีเหตุผลอันสมควรการประเมินในส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 939/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่า: จำกัดเฉพาะค่าเช่าที่ควรจะเป็น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินและตึกแถวพิพาทของโจทก์และเรียกค่าเสียหาย โดยกล่าวในคำฟ้องว่าโจทก์ได้กู้ยืมเงินจากธนาคารมาเพื่อชำระราคาที่ดินและตึกแถวพิพาทและโจทก์ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทแก่ผู้ซื้อหากผิดนัดจดทะเบียนโอนแก่ผู้ซื้อไม่ได้จะต้องถูกปรับเป็นรายวัน จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากที่ดินและตึกแถวพิพาท เป็นเหตุให้โจทก์จดทะเบียนโอนให้ผู้ซื้อไม่ได้โจทก์จึงไม่มีเงินชำระหนี้ได้รับความเสียหายต้องชำระค่าดอกเบี้ยแก่ธนาคารและค่าปรับแก่ผู้ซื้อ ดังนี้ค่าเสียหายดังกล่าวเป็นค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากที่ดินและตึกแถวที่เช่า ค่าเสียหายควรเป็นจำนวนเงินเท่ากับค่าเช่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8237/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ค่าเช่าช่วงโดยวางทรัพย์เมื่อสิทธิผู้ให้เช่ายังไม่ชัดเจน จำเลยไม่ต้องรับผิด
แม้ในขณะแรกที่จำเลยเข้าครอบครองพื้นที่พิพาท จำเลยได้ทำสัญญาเช่าช่วงกับโจทก์ มีความผูกพันกับโจทก์ตามสัญญาเช่าช่วง จำเลยย่อมมีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องชำระเงินค่าเช่าให้โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิรับชำระหนี้เงินค่าเช่า ซึ่งจำเลยก็ได้ชำระเงินค่าเช่าให้โจทก์ตลอดมาจนถึงเดือนมีนาคม2534 ก็ตาม แต่ต่อมาจำเลยได้รับแจ้งจากบริษัท อ. เจ้าของพื้นที่พิพาทแจ้งให้ทราบว่า ส.ผู้เช่าพื้นที่พิพาทและโจทก์ทั้งสองหมดสิทธิในสัญญาเช่าที่ทำกับบริษัท อ.ดังกล่าวแล้ว ให้จำเลยไปทำสัญญาเช่ากับบริษัท อ. และชำระค่าเช่าแก่บริษัท อ.โดยตรง มิฉะนั้นก็ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากพื้นที่พิพาท อีกทั้งภายหลังปรากฏว่าบริษัท อ.ได้ฟ้องขับไล่ ส. กับได้เรียกให้ พ.ผู้เช่าช่วงพื้นที่พิพาทจาก ส.เข้าไปเป็นจำเลยร่วมด้วย จำเลยจึงได้ไปทำสัญญาเช่าพื้นที่พิพาทจากบริษัท อ.มีผลการเช่าตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2534 ดังนี้จะเห็นได้ว่าบุคคลผู้ตกอยู่ในภาวะเช่นจำเลยซึ่งมีเจตนาจะเช่าพื้นที่พิพาทไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิในการให้เช่าพื้นที่พิพาทได้แน่นอนว่าระหว่างโจทก์และบริษัท อ.ซึ่งต่างก็อ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิให้เช่าพื้นที่พิพาทได้ทั้งสองฝ่ายว่าใครจะเป็นผู้มีสิทธิอันแท้จริงกันแน่ จำเลยจึงได้นำเงินค่าเช่าตั้งแต่เดือนเมษายน 2534 ไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ตลอดมา จำนวนเงินค่าเช่าแต่ละเดือนที่จำเลยวางไว้เป็นเงินเดือนละ 14,400 บาท เท่ากับค่าเช่าที่ตกลงไว้กับโจทก์ซึ่งมากกว่าที่จำเลยตกลงไว้กับบริษัท อ.เจ้าของพื้นที่พิพาท การวางเงินค่าเช่าของจำเลยดังกล่าวก็โดยเจตนาจะชำระค่าเช่าเพื่อประโยชน์แก่โจทก์หรือบริษัท อ.เจ้าของพื้นที่พิพาท เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิอันแท้จริงซึ่งจำเลยไม่อาจจะหยั่งรู้ได้แน่นอนนั่นเอง มิได้วางเพียงเพื่อประโยชน์แก่บริษัท อ.เจ้าของพื้นที่พิพาทเท่านั้น เพราะมิฉะนั้นจำเลยคงไม่วางเงินค่าเช่าเป็นเงินเดือนละ14,400 บาท ตามที่ตกลงกับโจทก์ และการที่จำเลยวางเงื่อนไขในการรับเงินว่าต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำสั่งศาลถึงที่สุดมาแสดง ซึ่งมีความหมายว่าศาลมีคำสั่งฟังได้ว่าเจ้าหนี้ผู้นั้นเป็นผู้มีสิทธิในการให้เช่านั่นเอง จำเลยจำเป็นต้องวางเงื่อนไขดังกล่าวก็เนื่องมาจากความไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิอันแน่นอนระหว่างโจทก์กับบริษัทเจ้าของพื้นที่ ทั้งก็เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งสองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งมีสิทธิอันแท้จริง หากไม่วางเงื่อนไขดังกล่าวโจทก์หรือบริษัท อ.เจ้าของพื้นที่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจขอรับเงินที่จำเลยวางไว้โดยยังมิได้พิสูจน์สิทธิอันแท้จริงไปก็ได้ ดังนั้นการวางเงินค่าเช่าของจำเลยดังกล่าวมีเหตุผลโดยชอบ และมิใช่ความผิดของจำเลย จำเลยมีสิทธิที่จะวางทรัพย์ชำระเงินค่าเช่าได้ อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้ค่าเช่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 331 จำเลยจึงหาเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าแก่โจทก์ไม่ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าช่วงและฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้