คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ต่อสู้คดี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 186 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจศาลอนุญาตถอนฟ้อง: การถอนฟ้องเพื่อปรับปรุงฟ้องใหม่ไม่กระทบต่อการต่อสู้คดีของจำเลย
การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในคดีแพ่งได้หรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลโดยเฉพาะ ดังนั้น แม้จำเลยจะคัดค้านว่าโจทก์ขอถอนฟ้องเพื่อนำฟ้องไปปรับปรุงใหม่ให้สมบูรณ์โดยถือเอาประโยชน์จากคำให้การของจำเลยเป็นแนวทาง ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี เมื่อศาลเห็นว่าคำคัดค้านของจำเลยไม่เป็นเหตุที่จะใช้ดุลพินิจไม่ให้โจทก์ถอนฟ้อง ก็อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1513/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย, การต่อสู้คดี, และการลงโทษกรรมเดียวผิดหลายบท
คดีที่พนักงานอัยการโจทก์บรรยายฟ้องว่า ได้ มีการสอบสวนแล้วย่อมสันนิษฐานได้ ว่า มีการสอบสวนชอบด้วย กฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยไม่คัดค้าน โดย เสนอหรือนำสืบเป็นข้อต่อสู้ไว้ ถือว่าไม่มีข้อโต้เถียงกัน หากตาม สำนวนไม่มีข้อเท็จจริงที่แสดงว่าการสอบสวนนั้นไม่ชอบ จำเลยเพิ่งมาคัดค้านขึ้นในชั้นอุทธรณ์ ย่อมไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยให้กรณีถือได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดที่กล่าวหาตามฟ้องแล้ว แม้ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของจำเลย เมื่อโจทก์จำเลยได้นำสืบพยานมาจนสิ้นกระแสความแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวไปได้เองโดย ไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดก่อน แม้ อ. จะเคยถูก ฟ้องร่วมกับจำเลยมาก่อน แต่ ศาลได้ สั่งแยกฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ต่างหากจากคดีที่ อ. ถูกฟ้องร่วมกับจำเลย โจทก์จึงอ้าง อ. เป็นพยานได้โดยขณะที่ อ. เบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ อ. มิได้อยู่ในฐานะ เป็นจำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อ กฎหมายหลายบท คือ เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 5661 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ใช้ กฎหมายบทที่หนักที่สุดลงโทษพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจเปรียบเทียบปรับจำเลยในความผิดที่มีโทษเบากว่า เพื่อให้ความผิดทุกกรรมรวมทั้งความผิดที่มีโทษหนักกว่าเลิกกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37 ได้ ดังนั้น แม้พนักงานสอบสวนจะเปรียบเทียบปรับจำเลยไปแล้วตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 61 ซึ่ง เป็นความผิดบทเบาที่สุด การเปรียบเทียบนั้นก็ไม่ชอบ คดีไม่เลิกกันตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 37 ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ซึ่ง เป็นบทที่หนักที่สุดให้ถูกต้อง ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6107/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้กรรมสิทธิ์ในคดีแพ่ง: ผลของการไม่ชำระค่าขึ้นศาลฟ้องแย้ง
การต่อสู้คดีอ้างกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทของฝ่ายจำเลยนั้นจำเลยอาจจะให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์โดยมิได้ฟ้องแย้ง หรือจะฟ้องแย้งด้วยก็ได้ ถ้าฟ้องแย้งด้วยและเมื่อฟังว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย ศาลก็จะบังคับให้ตามฟ้องแย้ง แต่ถ้าหากมิได้ฟ้องแย้งศาลก็จะพิพากษาเพียงให้ยกฟ้องโจทก์เท่านั้น คดีเช่นนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ การที่จำเลยมิได้นำค่าขึ้นศาลฟ้องแย้งมาชำระหาได้ทำให้ประเด็นในข้อต่อสู้กรรมสิทธิ์หมดหรือระงับไปไม่ การที่ศาลมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับนั้นเป็นการใช้ดุลพินิจของศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 หาใช่เป็นการกำหนดหรือคำนวณค่าฤชาธรรมเนียมไม่ถูกต้องตามกฎหมายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3000/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเรียกค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนต้องระบุรายละเอียดปี จำนวนวันหยุด และข้อตกลงสะสมวันหยุด เพื่อให้จำเลยต่อสู้คดีได้
ค่าจ้างเนื่องจากการที่ลูกจ้างไม่ได้ใช้วันหยุดพักผ่อนประจำปีมิใช่เงินที่กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายแก่ลูกจ้างเป็นจำนวนแน่นอนเมื่อมีการเลิกจ้าง แต่เป็นเงินที่กฎหมายยอมให้ลูกจ้างเรียกร้องจากนายจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนตามวันที่นายจ้างกำหนดให้ หรือยังหยุดพักผ่อนไม่ครบ การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างเนื่องจากการที่โจทก์ไม่ใช้วันหยุดพักผ่อนประจำปี โดยบรรยายฟ้องเพียงว่า '4.4 ค่าจ้างเนื่องจากการที่โจทก์ไม่ใช้วันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 70 วัน เป็นเงิน 54,117 บาท'มิได้บรรยายมาให้เห็นว่าวันหยุดประจำปี 70 วัน เป็นวันหยุดพักผ่อนสำหรับปีใดบ้าง ในแต่ละปีมีจำนวนกี่วันจำเลยผู้เป็นนายจ้างได้ตกลงกับโจทก์ล่วงหน้าให้สะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีไปได้ เพื่อให้จำเลยเข้าใจและต่อสู้คดีได้ว่าจำนวนวันที่โจทก์ยังไม่ได้ใช้วันหยุดพักผ่อนประจำปีตรงตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม เพราะมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2967/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิพากษาย้อนสำนวน แม้โจทก์มิได้ขอ แต่เพื่อเปิดโอกาสให้คู่ความต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น อ้างว่าศาลอุทธรณ์ควรฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้อง แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ตามคำฟ้อง แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ขอให้ย้อนสำนวนก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่ากรณีไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำขอในอุทธรณ์ของโจทก์ได้โดยไม่ต้องสืบพยาน ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษา ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้คดีเช็ค การยกข้อต่อสู้ไม่สุจริตและไม่มีมูลหนี้ต้องมีเหตุผลสนับสนุน
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตแต่ไม่ได้ให้เหตุผลว่าโจทก์ไม่สุจริตอย่างใด จำเลยจึงไม่มีประเด็นจะนำสืบในข้อนี้ ที่จำเลยให้การว่าทำเช็คพิพาทหายไปไม่เป็นเหตุผลที่จะให้รับฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยไม่สุจริต
จำเลยให้การต่อสู้ว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์ที่ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยมีมูลหนี้เพราะผู้มีชื่อนำเช็คมาชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทโดยคบคิดกันฉ้อฉลร่วมกับผู้มีชื่อซึ่งจะเป็นเหตุผลที่แสดงว่าเช็คไม่มีมูลหนี้ จึงเท่ากับจำเลยไม่ได้ยกมาตรา 916 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้นต่อสู้ จำเลยจึงไม่มีประเด็นจะนำสืบในข้อนี้อีกด้วยชอบที่จะงดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้คดีโดยไม่เปิดเผยเหตุแห่งการปฏิเสธ และการรับฟังพยานหลักฐานจากหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่มิได้ปิดอากรแสตมป์
คำให้การจำเลยที่ปฏิเสธเพียงว่า บ.ไม่ได้กู้เงินโจทก์หนังสือสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้องไม่ถูกต้องและไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โดยไม่ได้อ้างเหตุตั้งประเด็นไว้ว่า เหตุใด บ.จึงไม่ได้กู้เงินโจทก์ และหนังสือสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้องไม่ถูกต้องและไม่สมบูรณ์อย่างไร จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยไม่มีสิทธิสืบพยานตามข้อต่อสู้
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ในขณะทำสัญญาแต่ต่อมาได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว จะโดยผู้อ้างปิดอากรแสตมป์เองหรือผู้อ้างขอให้ศาลสั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการให้ ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลรับฟังหนังสือสัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1433/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีชิงทรัพย์ที่ไม่ระบุชื่อเจ้าของทรัพย์ หากโจทก์บรรยายรายละเอียดอื่นครบถ้วน
ความผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ตามลักษณะของความผิดจะต้องเป็นทรัพย์ของผู้อื่น และโดยปกติฟ้องย่อมต้องระบุชื่อเจ้าของทรัพย์เพื่อจำเลยจะต่อสู้คดีได้ แต่กฎหมายก็มิได้บังคับเด็ดขาดว่าต้องระบุชื่อเจ้าของทรัพย์เสมอไปเช่นในกรณีที่ไม่อาจทราบตัวเจ้าของทรัพย์ที่แน่นอนได้ คำฟ้องเพียงแต่กล่าวไว้พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยชิงทรัพย์ โดยลักเอากระเป๋าสตางค์1 ใบ ราคา 50 บาท เงินสด 370 บาท .....ของหญิงไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 35 ปี ผู้เสียหายไปโดยทุจริต.....เป็นการบรรยายฟ้องที่มีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้วคงขาดแต่ชื่อเจ้าของทรัพย์เท่านั้นแต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจว่าทรัพย์ที่จำเลยลักเอาไปเป็นของผู้อื่น มิใช่เป็นทรัพย์ของจำเลยหรือเป็นทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ ดังนี้ ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ระบุข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลและสิ่งของพอสมควรที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1433/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีชิงทรัพย์ที่ไม่ระบุชื่อเจ้าของทรัพย์
ความผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ตามลักษณะของความผิดจะต้องเป็นทรัพย์ของผู้อื่น และโดยปกติฟ้องย่อมต้องระบุชื่อเจ้าของทรัพย์เพื่อจำเลยจะต่อสู้คดีได้ แต่กฎหมายก็มิได้บังคับเด็ดขาดว่าต้องระบุชื่อเจ้าของทรัพย์เสมอไปเช่นในกรณีที่ไม่อาจทราบตัวเจ้าของทรัพย์ที่แน่นอนได้ คำฟ้องเพียงแต่กล่าวไว้พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยชิงทรัพย์ โดยลักเอากระเป๋าสตางค์1 ใบ ราคา 50 บาท เงินสด 370 บาท .....ของหญิงไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 35 ปี ผู้เสียหายไปโดยทุจริต.....เป็นการบรรยายฟ้องที่มีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้วคงขาดแต่ชื่อเจ้าของทรัพย์เท่านั้นแต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจว่าทรัพย์ที่จำเลยลักเอาไปเป็นของผู้อื่น มิใช่เป็นทรัพย์ของจำเลยหรือเป็นทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ ดังนี้ ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ระบุข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลและสิ่งของพอสมควรที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2443/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมต้องระบุรายละเอียดชัดเจน เพื่อให้จำเลยต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง
ฟ้องโจทก์บรรยายแต่เพียงว่า จำเลยเบิกพัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าไปจากโจทก์เอาไปใช้งานแล้วมีของเหลือไม่ส่งคืน และปรับปรุงรื้อถอนอุปกรณ์การไฟฟ้าแล้วไม่ส่งคืนโจทก์ ทำให้อุปกรณ์การไฟฟ้าขาดบัญชีเป็นเงินจำนวนหนึ่งโดยมิได้กล่าวว่าจำเลยเบิกอุปกรณ์การไฟฟ้าอย่างใดไปจากโจทก์ เมื่อใด กี่ครั้งแต่ละครั้งเป็นเงินเท่าใด รื้ออุปกรณ์การไฟฟ้าอย่างใด และอย่างใดไม่ส่งคืน เป็นเงินเท่าใด ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องเคลือบคลุม (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2529)
of 19