คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ปฏิบัติหน้าที่

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 307 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 511/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของนายจ้างต่อการเสียชีวิตของลูกจ้างจากการใช้วิธีการที่อยู่ในดุลพินิจเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง
ผู้ควบคุมงานของนายจ้างสั่งให้ลูกจ้างทำความสะอาดที่พักแรมชั่วคราวที่ศาลาการเปรียญวัดซึ่งใช้ในระหว่างออกปฏิบัติงานก่อสร้างขยายเขตระบบจำหน่ายไฟฟ้า การทำความสะอาดที่พักจำเป็นต้องใช้น้ำด้วย การที่จะนำเอาน้ำในสระขึ้นมาใช้เป็นหน้าที่ของลูกจ้าง ฉะนั้นลูกจ้างจะใช้วิธีการอย่างใดเป็นเรื่องอยู่ในดุลพินิจของลูกจ้างเพื่อให้ได้น้ำขึ้นมาใช้ เมื่อลูกจ้างเลือกวิธีโดยไปยืมมอเตอร์สูบน้ำจากพระภิกษุมาใช้สูบน้ำเพื่อทำความสะอาดที่พักถือได้ว่าเป็นการกระทำตามคำสั่งของผู้ควบคุมงานของนายจ้างและถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้าง เมื่อลูกจ้างถูกไฟฟ้าดูดถึงแก่ความตายขณะที่อยู่ระหว่างกำลังใช้มอเตอร์ที่ยืมมาดังกล่าวสูบน้ำขึ้นจากสระเพื่อจะทำความสะอาดที่พักแรม นายจ้างจึงต้องจ่ายเงินทดแทนให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3855/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินค่าขนส่งปูนมาร์ลที่เก็บจากเกษตรกรโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ถือเป็นผลพลอยได้จากการปฏิบัติหน้าที่
จำเลยและ ส. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการตามโครงการพัฒนาดินเปรี้ยวอำเภอ ได้ว่าจ้างเอกชนให้ขนปูนมาร์ลของกรมโจทก์จากศูนย์ผลิตปูนมาร์ลไปแจกจ่ายให้แก่เกษตรกร เพื่อนำไปแก้ปัญหาดินเปรี้ยวตามโครงการดังกล่าวโดยไม่ได้ขออนุญาตต่อโจทก์ และขัดต่อนโยบายของโจทก์ที่ให้เกษตรกรไปขนเอง เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ จึงเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยและ ส. เงินที่จำเลยและ ส.ได้รับจากเกษตรกรเป็นค่าขนส่งปูนมาร์ลหากมีเหลืออยู่ ก็มิใช่เงินที่มีลักษณะเป็นผลพลอยได้จากการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ซึ่งจะต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามระเบียบของราชการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6424/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน: การจับกุมต้องเป็นไปตามกฎหมายและไม่มีการควบคุมตัวโดยมิชอบ
ในวันเกิดเหตุ จำเลยกับพวกพาผู้เสียหายกับพวกไปสถานีตำรวจเพื่อเจรจากับตัวแทนของ จ.ในคดีที่ จ. ร้องทุกข์ว่าผู้เสียหายฉ้อโกง และทำบันทึกการจับกุมไว้ แต่จำเลยยังมิได้จับกุมผู้เสียหายส่งต่อพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเพราะตัวแทนของ จ. มิได้ขอให้จับกุมเพียงแต่ขอให้จำเลยช่วยทวงเงินคืนจากผู้เสียหายเท่านั้นหลังจากนั้นได้พากันไปเจรจากันต่อที่ห้องพักของจำเลยที่แฟลตเจ้าพนักงานตำรวจ และผู้เสียหายได้ค้างคืนที่ห้องพักของจำเลยโดยสมัครใจ มิได้ถูกควบคุมตัว จึงถือไม่ได้ว่ามีการจับกุมผู้เสียหายในวันดังกล่าว แม้จะมีการทำบันทึกการจับกุมไว้แล้ว แต่เมื่อยังมิได้มีการจับกุมผู้เสียหายตามบันทึกการจับกุมนั้น การที่จำเลยมิได้ส่งตัวผู้เสียหายต่อพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีในวันดังกล่าว แต่เพิ่งจะจับกุมผู้เสียหายในภายหลังเมื่อคดีตกลงกันไม่ได้จึงได้มีการแก้ไขวันที่จับกุมผู้เสียหายให้ถูกต้องตามความเป็นจริง จึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5753/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากการตัดฟิวส์โทรศัพท์โดยไม่ตรวจสอบข้อสงสัยของลูกหนี้ และความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่
ค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ที่โจทก์ค้างชำระ เลยงวดการชำระหนี้หลายงวดและได้มีการชำระในงวดหลังหลายงวด บางงวดก็นานมากแล้ว นอกจากนี้ยังเคยปรากฏว่าจำเลยที่ 1เรียกเก็บค่าเช่าและค่าบริการจากโจทก์ผิดพลาดมาก่อนถึง 2 ครั้ง ย่อมเป็นเหตุอันควรที่โจทก์จะสงสัยว่าได้ชำระไปแล้ว โจทก์มีสิทธิที่จะโต้แย้งและขอตรวจสอบได้
จำเลยที่ 3 ที่ 4 มิได้ตรวจสอบสำเนาใบแจ้งหนี้ตามคำขอของโจทก์ และปรากฏว่าได้มีการส่งสำเนาใบแจ้งหนี้ดังกล่าวให้โจทก์แล้ว ทั้งโจทก์เคยมีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ว่า หากมีหลักฐานว่าค้างชำระก็จะชำระให้ แสดงว่าโจทก์มิได้ปฏิเสธว่าจะไม่ชำระหนี้ที่ทวงถามโดยเด็ดขาดเมื่อโจทก์ไม่ยอมชำระหนี้ที่ค้าง จำเลยที่ 3 ทำบันทึกเสนอต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นผ่านจำเลยที่ 4เพื่อพิจารณา จนในที่สุดผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ก็มีคำสั่งปลดฟิวส์มิให้โจทก์ใช้โทรศัพท์เหตุที่มีการปลดฟิวส์จึงเป็นผลจากการที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 มุ่งแต่จะบีบบังคับโจทก์ให้ชำระหนี้ที่ค้างไม่สนใจที่จะแก้ข้อสงสัยที่มีเหตุอันควรสงสัยของโจทก์ ทั้งที่อยู่ในวิสัยที่สามารถกระทำได้โดยง่ายซึ่งการที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ไม่ยอมแก้ข้อสงสัยของโจทก์เช่นนั้น จำเลยที่ 3 ที่ 4 ย่อมคาดหมายได้ว่าโจทก์จะไม่ยอมชำระหนี้ที่ค้างและจะต้องถูกปลดฟิวส์ ซึ่งย่อมทำให้โจทก์เสียสิทธิที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้โทรศัพท์ การกระทำของจำเลยที่ 3 ที่ 4 จึงเป็นการกระทำโดยจงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
เมื่อโจทก์มีหนังสือโต้แย้งเรื่องค่าเช่าและค่าบริการที่อ้างว่าโจทก์ค้างชำระไปยังจำเลยที่ 2 กลับเป็นว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ดำเนินการตามหนังสือแทนจำเลยที่ 2 เสียเองโดยไม่ปรากฏว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แสดงว่าจำเลยที่ 2 บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของจำเลยที่ 3 ที่ 4
พระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2497 มาตรา 6มีวัตถุประสงค์ให้จำเลยที่ 1 ดำเนินกิจการโทรศัพท์เพื่อประโยชน์ของประชาชนด้วย การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องเป็นเหตุให้โจทก์ถูกตัดฟิวส์โทรศัพท์ตามฟ้อง ถือว่ามิได้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เพื่อประโยชน์ของประชาชน เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เป็นละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5596/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีร้ายแรง: ดื่มสุราขณะทำงานและเข้าปฏิบัติหน้าที่เสี่ยง
จำเลยมีหน้าที่ขับเครนยกของหนัก ต้องใช้ความระมัดระวังเมื่อจำเลยดื่มสุราในเวลาทำงาน แม้ได้ดื่มนอกที่ทำงาน แต่ได้กลับเข้าทำงานในลักษณะมึนเมาสุรา ถ้าจำเลยเข้าปฏิบัติหน้าขับรถเครน ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ผู้เป็นนายจ้างได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรณีร้ายแรงโดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดความเสียหายขึ้นก่อน โจทก์จึงมีสิทธิเลิกจ้างจำเลยได้ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 123 (3)
แม้โจทก์ไม่ได้ลงโทษเลิกจ้าง ส.ด้วย ก็เป็นดุลพินิจในการลงโทษของโจทก์ผู้เป็นนายจ้างซึ่งหน้าที่ในความรับผิดของลูกจ้างแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน การไม่ลงโทษเลิกจ้าง ส.จึงไม่อาจถือเป็นเหตุที่จะถือว่าการเลิกจ้างจำเลยเป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 121แต่อย่างใด
การกระทำผิดของจำเลยเป็นความผิดกรณีร้ายแรง เข้าเกณฑ์ที่โจทก์จะลงโทษเลิกจ้างได้ การเลิกจ้างของโจทก์จึงไม่ใช่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2577/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขรก.ตำรวจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หน่วงเหนี่ยวการประกันตัวผู้ต้องหา ทำให้เกิดความเสียหาย
จำเลยเป็นข้าราชการตำรวจซึ่งเกี่ยวข้องกับการที่โจทก์เป็นผู้ต้องหาและถูกจับมาควบคุมไว้ การที่จำเลยพูดในตอนแรกที่ญาติโจทก์แสดงความจำนงขอประกันตัวโจทก์ว่าจะประกันไปทำไมจะตัดนิสัย2-3 วันก่อน และว่าจำเลยไม่ว่าง จะไปตั้งด่านตรวจ แต่จำเลยกลับไปรับประทานอาหารโดยมิได้ตั้งด่านตรวจตามที่พูดไว้นานเกือบ1 ชั่วโมง จึงกลับมาที่สถานีตำรวจแล้วจำเลยพูดกับญาติโจทก์อีกครั้งหนึ่งว่าจะประกันไปทำไม ตอนนี้ผู้เสียหายกำลังแรงให้ถูกขัง4-5 วันก่อน จากนั้นจำเลยก็ออกไปโต๊ะสนุกเกอร์ ดังนี้ จำเลยมีหน้าที่จะต้องอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้มาติดต่อ และตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญาฯ และมีหน้าที่ต้องขวนขวายกระวีกระวาดแนะนำชี้แจงแก่ญาติโจทก์ที่มาติดต่อขอประกันตัวโจทก์ว่าจะยื่นเรื่องราวได้อย่างไร นำเสนอแก่ใครและจำเลยต้องคอยให้โอกาสในการที่คนเหล่านั้นจะได้ดำเนินการดังกล่าว ไปด้วยดี รวดเร็วและเรียบร้อยตามสมควรแก่เวลาและพฤติการณ์ การกระทำ ของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ผู้ถูกคุมขัง เป็นความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 157.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างขณะปฏิบัติหน้าที่ แม้ลูกจ้างนอกระเบียบ
ผู้บังคับบัญชาสั่งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถไปเบิกน้ำมัน แต่จำเลยที่ 1 ขับรถไปซื้อยา อันเป็นการผิดระเบียบของจำเลยที่ 2 และรถจำเลยที่ 1 ชนกับรถโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่กลับมาที่ทำการเดิม ถือว่าจำเลยที่ 1 ยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่การงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 อยู่จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้าง แม้ลูกจ้างจะออกนอกเส้นทางปฏิบัติหน้าที่
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปเบิกน้ำมันตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ในระหว่างนั้นได้ขับรถไปเพื่อซื้อยาให้คนงานของจำเลยที่ 2 จึงเกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ที่ 1 กำลังขับอยู่ ดังนี้แม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 1 ขับรถไปถึงยังสถานที่ที่เบิกน้ำมันแล้วจึงออกไปซื้อยาภายนอกสถานที่ดังกล่าว อันเป็นการผิดระเบียบของจำเลยที่ 2 และระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้กลับไปยังที่ทำการเดิมของจำเลยที่ 2 ก็ถือว่าจำเลยที่ 1 ยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่การงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดทางอาญา, อำนาจฟ้อง, การปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ, การตรวจค้น, เหตุสมควร
คำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงองค์ประกอบอันเป็นความผิดตามป.อ.มาตรา 200 การเพิ่มเติมเฉพาะบทมาตรา 200 ในคำขอท้ายฟ้อง จึงไม่มีผลทำให้ศาลลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวได้ กรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องได้
จำเลยละเว้นไม่จับกุมผู้ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณจราจรแม้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่จำเลยมิได้กระทำไปโดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ส.บอกจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจว่าโจทก์หยิบอาวุธปืนสั้นออกมาจากรถ การที่จำเลยตรวจค้นรถโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยมีเหตุอันสมควรที่จะตรวจค้น มิใช่เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังและทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อหาดังกล่าวตาม ป.วิ.อ.มาตรา 220 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5845/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จต้องกระทบประเด็นแพ้ชนะคดี ความจริงที่แจ้งไม่ถึงขั้นพิสูจน์เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
ข้อความที่เป็นข้อสำคัญในคดีในความผิดฐานเบิกความเท็จจะต้องเป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันใน ประเด็นแห่งคดีได้
ประเด็นแห่งคดีในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น ได้แก่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่อย่างไรสำหรับคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่ว่า ร้านวีดีโอที่โจทก์กับพวกตรวจค้นเป็นของ ว. เช่าจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็แจ้งโจทก์ว่าให้เช่าไปแล้วพร้อมกับนำสัญญาเช่าให้ดูด้วย แล้วโจทก์สั่งให้จำเลยที่ 1 ไปสถานีตำรวจ เมื่อไปถึงโจทก์ให้พนักงานสอบสวนควบคุมตัวจำเลยที่ 1 นั้น แม้เป็นความเท็จ ความจริงไม่มีการนำเอาเอกสารสัญญาเช่ามาแสดง การจับกุมก็กระทำที่ร้านนั่นเองมิใช่ตั้งข้อหาที่สถานีตำรวจ แต่คดีก็ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบอย่างไร คงรับฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 1 แล้วว่า มีการให้เช่าร้านวีดีโอกันแล้วเท่านั้นมิได้หมายความเลยไปถึงว่า ความจริงเป็นดังที่จำเลยที่ 1 แจ้งแก่โจทก์ และโจทก์ทราบความจริงว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว แต่ยังแกล้งตั้งข้อหาและจับกุมจำเลยที่ 1 ข้อความที่จำเลยที่ 2 เบิกความดังกล่าว จึงไม่เป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดีอันจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ.
of 31