พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3759/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การใช้มีดแทงจนถึงแก่ความตายหลังป้องกันตัวได้แล้ว
จำเลยและผู้ตายรู้จักและเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้ตายมีสาเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงจนถึงกับเป็นเหตุให้ผู้ตายติดจะฆ่าจำเลย และการที่ผู้ตายใช้ไม้ยาว 1 ศอก ตีจำเลย1 ที แต่ไม่ถูก เพราะจำเลยยกเก้าอี้ขึ้นรับไว้ แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งชักมีดปลายแหลมยาว 1 คืบ จากเอวแทงถูกบริเวณหน้าอกซ้ายของผู้ตายโดยแรง 1 ที แสดงว่าก่อนที่จำเลยจะใช้มีดแทงจำเลยสามารถป้องกันภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายของผู้ตายได้ในระดับหนึ่งแล้ว หากจำเลยใช้เก้าอี้ป้องกันตัวต่อไปก็สามารถป้องกันภยันตรายได้ ดังนั้น การที่จำเลยชักมีดออกแทงผู้ตายบริเวณหน้าอกด้านซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญและแทงโดยแรงจนมีดเข้าไปถึงช่องหัวใจ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3134/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ และการโต้แย้งการรับฟังข้อเท็จจริงของศาล
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย6 เดือน ริบของกลาง จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายบุกรุกขึ้นบนบ้านจำเลย และใช้กำลังฉุดกระชากจำเลยโดยไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ การที่จำเลยเหวี่ยงมีดฟันผู้เสียหาย และผู้เสียหายก็เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ จำเลยก็หยุดไม่กระทำต่อ ถือว่าจำเลยกระทำพอสมควรแก่เหตุอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ฟังว่าจำเลยเหวี่ยงมีดฟันผู้เสียหายหลายครั้งจนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
แม้คดีจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีได้
แม้คดีจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3134/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุและการแก้ไขโทษในคดีอาญา
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย6 เดือน ริบของกลาง จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายบุกรุกขึ้นบนบ้านจำเลย และใช้กำลังฉุดกระชากจำเลยโดยไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ การที่จำเลยเหวี่ยงมีดฟันผู้เสียหายและผู้เสียหายก็เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ จำเลยก็หยุดไม่กระทำต่อถือว่าจำเลยกระทำพอสมควรแก่เหตุอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ภาค 1ที่ฟังว่าจำเลยเหวี่ยงมีดฟันผู้เสียหายหลายครั้งจนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว แม้คดีจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุ: การแทงเพื่อป้องกันตัวจากการทำร้าย และการช่วยเหลือเพื่อป้องกันภัย
โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภรรยากันแต่หย่าขาดจากกันแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นพี่สาวจำเลยที่ 1 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ไปซื้อของในตลาดสดได้พบกับโจทก์ร่วม ส่วนจำเลยที่ 2 นั่งทอดขนมอยู่ในตลาดสดนั้น โจทก์ร่วมหมิ่นประมาทรังแกและทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยพูดว่าจำเลยที่ 1 เล่นชู้ จำเลยที่ 1 พูดว่าอย่าพูดมาก โจทก์ร่วมเข้ากอดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผลักโจทก์ร่วมออกไปและว่ากล่าวโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมกลับมาจับนมจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงตบหน้าโจทก์ร่วม 1 ที แล้วโจทก์ร่วมตบหน้าจำเลยที่ 1 ทั้งสองข้าง และเตะที่ชายโครง สะโพก และขา จำเลยที่ 1 ล้ม โจทก์ร่วมดึงผมจำเลยที่ 1 ให้ลุกขึ้นใช้เข่ากระแทกบริเวณหน้าท้อง จำเลยที่ 1 จึงใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วม ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 เป็นหญิงสูงเพียง 150 เซนติเมตรโจทก์ร่วมสูง 170 เซนติเมตร หนัก 62 กิโลกรัม สูงใหญ่กว่าจำเลยที่ 1 มากไม่มีหนทางที่จำเลยที่ 1 จะต่อสู้กับโจทก์ร่วมได้เลย การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วมเพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย และบาดแผลที่หน้าท้องและที่ด้านข้างลำตัวด้านซ้ายมือ เลือดจากกล้ามเนื้อหน้าท้องไหลลงไปในช่องท้องประมาณ 1,500 ซี.ซี. ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลลงความเห็นว่าหากบำบัดรักษาไม่ทันอาจทำให้ถึงตายได้เนื่องจากเสียเลือดมาก จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และ มาตรา 69
จำเลยที่ 2 เข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมฝักบัวต่อไป ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1 ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด
จำเลยที่ 2 เข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมฝักบัวต่อไป ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1 ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ การแทงเพื่อป้องกันตัวจากขาโต๊ะ ศาลลดโทษตามมาตรา 69
จำเลยแทงผู้ตายเพราะผู้ตายใช้ขาโต๊ะตีจำเลยก่อน แต่ไม่ถูกและผู้ตายจะตีซ้ำ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกัน แต่การที่ผู้ตายใช้เพียงขาโต๊ะทำร้ายจำเลย จำเลยสามารถหยุดยั้งผู้ตายด้วยวิธีการอื่นได้ แต่ไม่กระทำ กลับใช้มีดแทงผู้ตายทันทีที่บริเวณหน้าอกอันเป็นอวัยวะสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเกินสมควรแก่เหตุ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้เถียงก่อนยิงและการลดโทษตามอายุ: ป้องกันตัวไม่สมเหตุผล & ลดโทษทุกกระทง
การที่จำเลยพูดโต้เถียงกับผู้ตายอันเป็นทำนองท้าทายผู้ตายแสดงว่าจำเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย เมื่อจำเลยยิงผู้ตายถึงแก่ความ-ตายจึงไม่สามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้
การลดมาตราส่วนโทษตาม ป.อ. มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำผิด เมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยแล้วก็จำต้องลดให้ทุกระทงความผิด แม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อแรก ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
การลดมาตราส่วนโทษตาม ป.อ. มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำผิด เมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยแล้วก็จำต้องลดให้ทุกระทงความผิด แม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อแรก ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย การท้าทายวิวาท และการลดโทษเนื่องจากอายุผู้กระทำความผิด
โจทก์มี ฉ. ประจักษ์พยานซึ่งเป็นภรรยาของผู้ตายเบิกความถึงเหตุการณ์ที่ผู้ตายสมัครใจทะเลาะวิวาทกับจำเลย แม้ข้อความนั้นเป็นผลร้ายต่อฝ่ายผู้ตายซึ่งเป็นสามีของตน แสดงให้เห็นว่า ฉ.เบิกความตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น มิได้ปรักปรำจำเลยทั้งในชั้นสอบสวนก็ให้การเช่นนี้ ส่วนจำเลยกับพยานของจำเลยเบิกความแตกต่างกันจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังตามข้อต่อสู้ของจำเลย การที่จำเลยพูดโต้เถียงกับผู้ตายเมื่อผู้ตายพูดว่า จะใช้ขวานฟันจำเลยจำเลยก็ตอบว่า ถ้าผู้ตายใช้ขวานฟันจำเลยก็จะยิงด้วยอาวุธปืนอันเป็นทำนองท้าทายผู้ตาย แสดงว่าจำเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย การที่จำเลยยิงผู้ตายจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเฉพาะเหตุอายุของผู้กระทำความผิด แม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การโต้เถียงก่อนเกิดเหตุและการสมัครใจวิวาท
การที่จำเลยพูดโต้เถียงกับผู้ตายอันเป็นทำนองท้าทายผู้ตายแสดงว่าจำเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย เมื่อจำเลยยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจึงไม่สามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ การลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำผิด เมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยแล้วก็จำต้องลดให้ทุกกระทงความผิดแม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตามแต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อแรก ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวิวาทโดยมีอาวุธและการเจตนาฆ่า: ป้องกันตัวใช้ไม่ได้
แม้จำเลยจะมีพวกน้อยกว่า แต่จำเลยกับพวกมีทั้งอาวุธปืนและอาวุธมีด น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกไม่ได้เกรงกลัวโจทก์ร่วมกับผู้เสียหาย การทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเป็นการสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจอ้างเรื่องป้องกันตัวมาเป็นข้อต่อสู้ได้ แม้ว่าในระหว่างวิวาทกันนั้นจำเลยอาจเพลี่ยงพล้ำไปบ้างก็ตาม และกรณีที่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายฝ่ายหนึ่ง และจำเลยกับพวกอีกฝ่ายหนึ่งได้เกิดวิวาททำร้ายกัน และจำเลยใช้อาวุธปืนพกที่ติดตัวไปยิงโจทก์ร่วมกับพวกและใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายเช่นนี้เป็นคนละกรณีกับเรื่องชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปเพราะกรณีดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ใดร่วมกับใครทำร้ายโจทก์ร่วมและการที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงโจทก์ร่วมกับพวก กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมและพลาดไปถูกผู้อื่น ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวิวาทโดยมีอาวุธ การอ้างป้องกันตัวไม่สมเหตุผล และเจตนาฆ่าจากการใช้อาวุธร้ายแรง
แม้จำเลยจะมีพวกน้อยกว่า แต่จำเลยกับพวกมีทั้งอาวุธปืนและอาวุธมีด น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกไม่ได้เกรงกลัวโจทก์ร่วมกับผู้เสียหาย การทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเป็นการสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจอ้างเรื่องป้องกันตัวมาเป็นข้อต่อสู้ได้ แม้ว่าในระหว่างการวิวาทกันนั้นจำเลยอาจเพลี่ยงพล้ำไปบ้างก็ตาม และกรณีที่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายฝ่ายหนึ่ง และจำเลยกับพวกอีกฝ่ายหนึ่งได้เกิดวิวาททำร้ายกัน และจำเลยใช้อาวุธปืนพกที่ติดตัวไปยิงโจทก์ร่วมกับพวกและใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายเช่นนี้เป็นคนละกรณีกับเรื่องชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปเพราะกรณีดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ใดร่วมกับใครทำร้ายโจทก์ร่วมและการที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงโจทก์ร่วมกับพวก กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมและพลาดไปถูกผู้อื่นถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า