พบผลลัพธ์ทั้งหมด 327 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2176/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งคำบังคับศาลแรงงานและการพิจารณาใหม่ การปิดคำบังคับมีผลเมื่อเวลาที่กำหนดล่วงพ้น
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มิได้กำหนดระยะเวลาให้คู่ความฝ่ายซึ่งศาลมีคำสั่งขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาทยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ไว้ กรณีจึงต้องนำ ป.วิ.พ.มาตรา 208 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ศาลแรงงานได้ออกคำบังคับและให้ส่งคำบังคับแก่จำเลยโดยสั่งว่าการส่งหากไม่มีผู้รับแทนให้ปิดและให้มีผลทันที แต่คำบังคับของศาลระบุข้อความไว้เพียงว่า ให้การปิดคำบังคับมีผลตามกำหนดระยะเวลาในหมายนี้ และให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับคำบังคับเป็นต้นไป ข้อความที่ระบุไว้ในคำบังคับดังกล่าวหาได้มีความหมายว่า การปิดคำบังคับให้มีผลทันที จำเลยจึงไม่อาจทราบได้ว่าศาลแรงงานมีคำสั่งให้การส่งคำบังคับมีผลทันทีในกรณีที่มีการปิดคำบังคับกรณีจึงต้องอยู่ในบังคับ ป.วิ.พ.มาตรา 79 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ที่กำหนดว่า การส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีอื่นแทนนั้นให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลานานกว่านั้นตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดได้ล่วงพ้นไปแล้วนับแต่เวลาที่คำบังคับได้ปิดไว้ จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับให้แก่จำเลย
ศาลแรงงานได้ออกคำบังคับและให้ส่งคำบังคับแก่จำเลยโดยสั่งว่าการส่งหากไม่มีผู้รับแทนให้ปิดและให้มีผลทันที แต่คำบังคับของศาลระบุข้อความไว้เพียงว่า ให้การปิดคำบังคับมีผลตามกำหนดระยะเวลาในหมายนี้ และให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับคำบังคับเป็นต้นไป ข้อความที่ระบุไว้ในคำบังคับดังกล่าวหาได้มีความหมายว่า การปิดคำบังคับให้มีผลทันที จำเลยจึงไม่อาจทราบได้ว่าศาลแรงงานมีคำสั่งให้การส่งคำบังคับมีผลทันทีในกรณีที่มีการปิดคำบังคับกรณีจึงต้องอยู่ในบังคับ ป.วิ.พ.มาตรา 79 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ที่กำหนดว่า การส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีอื่นแทนนั้นให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลานานกว่านั้นตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดได้ล่วงพ้นไปแล้วนับแต่เวลาที่คำบังคับได้ปิดไว้ จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1902/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งคำบังคับศาลแรงงานและการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนด
เมื่อ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มิได้กำหนดระยะเวลาให้คู่ความฝ่ายที่ศาลมีคำสั่งขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาให้แพ้คดีในประเด็นพิพาทยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ กรณีจึงต้องนำป.วิ.พ.มาตรา 208 มาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
คดีนี้ศาลแรงงานได้ออกคำบังคับและให้ส่งคำบังคับแก่จำเลยโดยสั่งว่าในการส่งหากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดและให้มีผลเป็นการส่งในทันที แต่ในคำบังคับหาได้มีข้อความว่าการปิดคำบังคับให้มีผลทันทีตามคำสั่งของศาลแรงงานดังกล่าวไม่ คงระบุข้อความไว้เพียงว่า ให้การปิดคำบังคับมีผลตามกำหนดระยะเวลาในคำบังคับ และกำหนดไว้ต่อไปอีกว่า ให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วันนับแต่วันรับคำบังคับเท่านั้น ดังนี้ เมื่อข้อความที่ระบุไว้ในคำบังคับไม่ได้มีความหมายว่าการปิดคำบังคับให้มีผลทันที จำเลยจึงไม่อาจทราบได้ว่าศาลแรงงานมีคำสั่งให้การส่งคำบังคับมีผลทันทีที่มีการปิดคำบังคับ กรณีต้องอยู่ในบังคับ ป.วิ.พ.มาตรา 79วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 31 ที่กำหนดว่าการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยจะมีผลตามกฎหมายต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลานานกว่านั้นตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดได้ล่วงพ้นไปแล้วนับแต่วันปิดคำบังคับ ปรากฏว่ามีการปิดคำบังคับที่ภูมิลำเนาจำเลยเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม2541 ซึ่งครบกำหนดยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 24 กันยายน 2541 อันเป็นวันทำการ จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่ 25 กันยายน 2541 จึงเป็นการยื่นเกินกำหนดสิบห้าวันตาม ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคหนึ่ง การที่ศาลแรงงานมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว
คดีนี้ศาลแรงงานได้ออกคำบังคับและให้ส่งคำบังคับแก่จำเลยโดยสั่งว่าในการส่งหากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดและให้มีผลเป็นการส่งในทันที แต่ในคำบังคับหาได้มีข้อความว่าการปิดคำบังคับให้มีผลทันทีตามคำสั่งของศาลแรงงานดังกล่าวไม่ คงระบุข้อความไว้เพียงว่า ให้การปิดคำบังคับมีผลตามกำหนดระยะเวลาในคำบังคับ และกำหนดไว้ต่อไปอีกว่า ให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วันนับแต่วันรับคำบังคับเท่านั้น ดังนี้ เมื่อข้อความที่ระบุไว้ในคำบังคับไม่ได้มีความหมายว่าการปิดคำบังคับให้มีผลทันที จำเลยจึงไม่อาจทราบได้ว่าศาลแรงงานมีคำสั่งให้การส่งคำบังคับมีผลทันทีที่มีการปิดคำบังคับ กรณีต้องอยู่ในบังคับ ป.วิ.พ.มาตรา 79วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 31 ที่กำหนดว่าการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยจะมีผลตามกฎหมายต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลานานกว่านั้นตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดได้ล่วงพ้นไปแล้วนับแต่วันปิดคำบังคับ ปรากฏว่ามีการปิดคำบังคับที่ภูมิลำเนาจำเลยเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม2541 ซึ่งครบกำหนดยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 24 กันยายน 2541 อันเป็นวันทำการ จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่ 25 กันยายน 2541 จึงเป็นการยื่นเกินกำหนดสิบห้าวันตาม ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคหนึ่ง การที่ศาลแรงงานมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1902/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาในการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่หลังขาดนัดพิจารณาคดีแรงงาน
เมื่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มิได้กำหนดระยะเวลาให้คู่ความฝ่ายที่ศาลมีคำสั่งขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาให้แพ้คดีในประเด็นพิพาทยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ กรณีจึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 มาใช้บังคับ โดยอนุโลมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 คดีนี้ศาลแรงงานได้ออกคำบังคับและให้ส่งคำบังคับแก่จำเลยโดยสั่งว่าในการส่งหากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดและให้มีผลเป็นการส่งในทันที แต่ในคำบังคับหาได้มีข้อความว่าการปิดคำบังคับให้มีผลทันทีตามคำสั่งของศาลแรงงานดังกล่าวไม่ คงระบุข้อความไว้เพียงว่า ให้การปิดคำบังคับ มีผลตามกำหนดระยะเวลาในคำบังคับ และกำหนดไว้ต่อไปอีกว่าให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน นับแต่ วันรับคำบังคับเท่านั้น ดังนี้ เมื่อข้อความที่ระบุไว้ ในคำบังคับไม่ได้มีความหมายว่าการปิดคำบังคับให้มีผลทันที จำเลยจึงไม่อาจทราบได้ว่าศาลแรงงานมีคำสั่งให้การส่งคำบังคับ มีผลทันทีที่มีการปิดคำบังคับ กรณีต้องอยู่ในบังคับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสอง ประกอบ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ที่กำหนดว่าการส่งคำบังคับให้แก่จำเลย จะมีผลตามกฎหมายต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลา นานกว่านั้นตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดได้ล่วงพ้นไปแล้ว นับแต่วันปิดคำบังคับ ปรากฏว่ามีการปิดคำบังคับที่ภูมิลำเนา จำเลยเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2541 ซึ่งครบกำหนดยื่นคำร้อง ขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 24 กันยายน 2541 อันเป็นวันทำการ จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่ 25 กันยายน 2541 จึงเป็นการยื่นเกินกำหนดสิบห้าวันตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง การที่ศาลแรงงานมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1587/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลชัดเจนและมีเหตุผลที่ศาลจะรับพิจารณาได้ หากขาดองค์ประกอบดังกล่าว ศาลไม่ต้องรับคำร้อง
จำเลยระบุในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เพียงว่า หากจำเลยได้มีโอกาสยื่นคำให้การต่อสู้คดีแล้ว ย่อมทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปเพราะความจริงแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนตามฟ้องของโจทก์ โดยจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไร ทั้งไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าหากพิจารณาใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว คำร้องของจำเลยจึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคสอง
การที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้จะต้องให้ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เสียก่อน เมื่อคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้และศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องแล้วกรณีจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องอีกต่อไป
การที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้จะต้องให้ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เสียก่อน เมื่อคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้และศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องแล้วกรณีจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1587/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องมีข้อคัดค้านคำพิพากษาชัดเจน การแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องต้องรอคำสั่งรับคำร้องเดิม
จำเลยระบุในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เพียงว่า หากจำเลยได้มีโอกาสยื่นคำให้การต่อสู้คดีแล้ว ย่อมทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปเพราะความจริงแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนตามฟ้องของโจทก์ โดยจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไรทั้งไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าหากพิจารณาใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้ พิพากษาไปแล้ว คำร้อง ของ จำเลยจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง การที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้จะต้องให้ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เสียก่อนเมื่อคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้และศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องแล้วกรณีจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1398/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งคำบังคับโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การขาดนัดยื่นคำให้การและพิจารณา และการขอพิจารณาใหม่
การส่งคำบังคับโดยวิธีอื่นแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคหนึ่ง นั้น พนักงานเดินหมาย ผู้ส่งคำบังคับจะต้องทำการปิดคำบังคับไว้ ณ บริษัทจำเลย ในที่แลเห็นได้ง่ายตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น การส่งให้ พนักงานบริษัทจำเลยรับไว้มิใช่เป็นการปิดคำบังคับในที่แลเห็นได้ง่ายตามกฎหมาย การส่งคำบังคับในกรณีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีจึงยังอยู่ในระยะเวลาที่จำเลยจะยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ อาคาร ท. มีทั้งหมด 9 ชั้น มีบริษัทดำเนินกิจการอยู่ในอาคารดังกล่าวประมาณ 10 บริษัท บริษัทจำเลยมีที่ทำการอยู่ชั้นที่ 7 และ 8 ลูกค้าที่จะติดต่อต้องติดต่อที่ชั้นที่ 8ในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและหมายนัดสืบพยานโจทก์ ให้จำเลยนั้น เมื่อพนักงานส่งหมายไปถึงอาคาร ท.เข้าใจว่าทั้งอาคารเป็นของบริษัทจำเลยจึงได้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ที่บริเวณด้านหน้าอาคารชั้นล่างการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องก็ดี การปิดหมายนัดสืบพยานโจทก์ ก็ดี พนักงานเดินหมายได้ปิดไว้ที่หน้าอาคารชั้นล่าง ไม่ใช่ ที่ทำการของบริษัทจำเลย อาคาร ท. เป็นที่ทำการของบริษัทอื่นอีกประมาณ 10 บริษัท ย่อมมีผู้คนพลุกพล่านพอสมควร หมายเรียก และหมายนัดอาจหลุดหายไปก่อนที่จำเลยจะได้ทราบข้อความ ดังนี้การขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาของจำเลย จึงมิได้เป็นไปโดยจงใจและมีเหตุอันสมควรให้พิจารณาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7154/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ที่ไม่ชัดเจนและขาดเหตุผลสนับสนุน
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยบรรยายว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยฟังข้อเท็จจริงจากพยานเอกสารและพยานบุคคลของฝ่ายโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่จำเลยมิได้อ้างเหตุให้ชัดแจ้งว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร และหากมีการพิจารณาใหม่จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไร แม้จะกล่าวมาด้วยว่าจำเลยมีหลักฐานเอกสารที่จะหักล้างข้อกล่าวอ้างของโจทก์ ก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ หาได้คัดค้านในเนื้อหาแห่งคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นไม่ จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6627/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุคัดค้านคำพิพากษาชัดแจ้ง การอ้างเพียงว่าเคยมีการประนีประนอมยอมความในคดีอาญา ไม่อาจใช้เป็นเหตุ
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยระบุเพียงว่าโจทก์นำมูลหนี้เดียวกันกับคดีนี้ไปฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา จนสามารถหาข้อยุติและประนีประนอมยอมความกับ โจทก์ไปแล้ว โจทก์กลัวนำตั๋วเงินในมูลหนี้เดิมในคดีอาญา มาฟ้องเป็นคดีนี้ ซึ่งโจทก์ควรแจ้งให้จำเลยทราบเพราะจำเลย ได้ติดต่อกับโจทก์ตลอดมาเพื่อผ่อนชำระหนี้ตามคดีอาญา ดังกล่าว โจทก์ฉกฉวยโอกาสที่จำเลยไม่ทราบฟ้องโจทก์ มาปิดช่องทางการต่อสู้คดีของจำเลยโดยขอให้ ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว จนศาลพิพากษา ให้จำเลยชำระหนี้ ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่จำเลย คำขอให้ พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวไม่ได้อ้างหรือแสดงเหตุ โดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือ ไม่ถูกต้องในส่วนใด อย่างไร ทั้งจำเลยมิได้โต้แย้ง คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค ตามฟ้องดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย และไม่ได้แสดงเหตุผลว่าหาก มีการอนุญาตให้พิจารณาใหม่จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไรคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวจำเลยยังมิได้กล่าว โดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น จึงเป็นคำขอให้พิจารณาใหม่ที่ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5974/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งคำบังคับ การพิจารณาคำร้องขอพิจารณาใหม่ และขอบเขตการอุทธรณ์ในคดีจำนวนทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่พ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่คำบังคับมีผล โดยไม่แสดงเหตุอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคแรก ให้ยกคำร้องแสดงอยู่ในตัวว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วว่ามีการส่งคำบังคับให้จำเลยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏจากรายงานการเดินหมายว่าพนักงานเดินหมายได้ส่งคำบังคับ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้อง ตรงกับที่ระบุไว้ในแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร์ที่โจทก์ส่งอ้างเป็นหลักฐานต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ณ ภูมิลำเนาของจำเลยแทนการส่งด้วยวิธีธรรมดาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาดังกล่าวจึงไม่ผิดกฎหมาย
คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทคู่ความต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคแรกคู่ความคงอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ว่า การส่งคำบังคับให้จำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมายจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทราบคำบังคับ จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งป.วิ.พ.ว่าด้วยการพิจารณา เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยว่า คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยในข้อที่ว่าจำเลยได้แสดงเหตุอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยหรือไม่ จึงมีเหตุสมควรให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาพิพากษาใหม่ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247
คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทคู่ความต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคแรกคู่ความคงอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ว่า การส่งคำบังคับให้จำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมายจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทราบคำบังคับ จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งป.วิ.พ.ว่าด้วยการพิจารณา เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยว่า คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยในข้อที่ว่าจำเลยได้แสดงเหตุอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยหรือไม่ จึงมีเหตุสมควรให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาพิพากษาใหม่ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4684/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาใหม่ต้องทำภายใน 15 วันนับจากวันที่ทราบคำพิพากษา หากมีเหตุสุดวิสัยทำให้ไม่สามารถตรวจสำนวนได้ ระยะเวลาจะเริ่มนับเมื่อเหตุนั้นสิ้นสุด
ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคสองบังคับให้ผู้ร้องขอให้พิจารณาใหม่จะต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่คู่ความได้ขาดนัด และข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล และในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้ากว่ากำหนดก็ต้องกล่าวถึงเหตุที่ยื่นคำร้องล่าช้ามาด้วย การขอให้พิจารณาใหม่จึงจำเป็นที่จำเลยผู้ร้องขอต้องตรวจสำนวนคดีเพื่อทราบคำฟ้องและกระบวนพิจารณาคดีตลอดจนคำพิพากษาของศาลเสียก่อน
แต่เมื่อจำเลยยังไม่ได้ตรวจสำนวนหรือเห็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยก็ไม่อาจทราบคำฟ้อง และกระบวนพิจารณาตลอดจนคำพิพากษาของศาลที่จะทำคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นได้ เท่ากับจำเลยไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ เมื่อตามคำร้องของจำเลยอ้างว่าเจ้าพนักงานศาลยังหาสำนวนไม่พบ ทำให้จำเลยไม่สามารถตรวจดูสำนวนคดี ตลอดจนไม่สามารถคัดหรือถ่ายคำฟ้องและคำพิพากษาของศาลได้ กรณีตามคำร้องย่อมถือได้แล้วว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ และเมื่อใดที่จำเลยได้ตรวจสำนวนคดีทราบคำฟ้องคำพิพากษาตลอดจนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนั้นแล้ว จึงจะถือได้ว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นั้นสิ้นสุดลงในวันนั้น เมื่อจำเลยได้รับเอกสารที่ขอถ่ายจากศาลชั้นต้นในวันที่ 29 พฤษภาคม 2540 ก็ต้องถือว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงคือนับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2540 เป็นต้นไป จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2540 จึงยังไม่ล่วงระยะเวลา15 วันตามที่กฏหมายบัญญัติบังคับไว้
แต่เมื่อจำเลยยังไม่ได้ตรวจสำนวนหรือเห็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยก็ไม่อาจทราบคำฟ้อง และกระบวนพิจารณาตลอดจนคำพิพากษาของศาลที่จะทำคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นได้ เท่ากับจำเลยไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ เมื่อตามคำร้องของจำเลยอ้างว่าเจ้าพนักงานศาลยังหาสำนวนไม่พบ ทำให้จำเลยไม่สามารถตรวจดูสำนวนคดี ตลอดจนไม่สามารถคัดหรือถ่ายคำฟ้องและคำพิพากษาของศาลได้ กรณีตามคำร้องย่อมถือได้แล้วว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ และเมื่อใดที่จำเลยได้ตรวจสำนวนคดีทราบคำฟ้องคำพิพากษาตลอดจนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนั้นแล้ว จึงจะถือได้ว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นั้นสิ้นสุดลงในวันนั้น เมื่อจำเลยได้รับเอกสารที่ขอถ่ายจากศาลชั้นต้นในวันที่ 29 พฤษภาคม 2540 ก็ต้องถือว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงคือนับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2540 เป็นต้นไป จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2540 จึงยังไม่ล่วงระยะเวลา15 วันตามที่กฏหมายบัญญัติบังคับไว้