พบผลลัพธ์ทั้งหมด 644 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5599/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการ, รับของโจร จากการนำใบสั่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกลักไปมาใช้โดยมิชอบ
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเขียนข้อความลงในใบสั่งจ่ายน้ำมัน ทั้ง ๆ ที่ทราบว่าตนไม่มีอำนาจกระทำได้ จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร การที่จำเลยนำเอกสารปลอมไปยื่นต่อพนักงานของ สถานีบริการน้ำมันเพื่อประโยชน์ในการเติมน้ำมันใส่รถยนต์ของจำเลย จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมด้วย เอกสารใบสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวเป็นเอกสารซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำหน้าที่พลขับจะต้องกรอกข้อความให้ชัดเจนว่าเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชการใด จำนวนเท่าใด จึงเป็นการทำขึ้นในหน้าที่ อันเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(8) การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม ใบสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกลักไป ต่อมาตกอยู่ในความ ครอบครองของจำเลย เมื่อจำเลยนำไปกรอกข้อความเพื่อใช้สิทธิเติมน้ำมัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยทราบว่าใบสั่งจ่าย น้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 427/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์-รับของโจร: พยานหลักฐานไม่ชัดเจน ยกฟ้องฐานลักทรัพย์ แต่ลงโทษฐานรับของโจร
ป. ถูกฟ้องในข้อหาความผิดฐานลักปลาดุก เลี้ยงของผู้เสียหายในคราวเดียวกันกับคดีนี้ และศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ป. ไปแล้ว ตามคดีอาญาก่อนของศาลชั้นต้น ดังนั้น จึงต้องถือว่า ป. มีฐานะเป็นจำเลยเช่นเดียวกันกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 แม้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะไม่ได้ถูกฟ้องแย้งจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวร่วมกับ ป. ก็ตาม แต่เพราะเป็นมูลคดีเดียวกันคำเบิกความของ ป. ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีน้ำหนักน้อย เพราะเป็นคำซัดทอดในระหว่างจำเลยด้วยกันส่วนนางข. นอกจากจะเป็นภริยาของ ป. แล้วตามพฤติการณ์แห่งคดีก็เป็นผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ขณะมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ตลอดจนมีส่วนร่วมในการนำปลาดุก เลี้ยงของผู้เสียหายไปขายอันอาจถือได้ว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดในคดีนี้ด้วยดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่ ข. จะเบิกความซัดทอดจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพื่อให้ตนเองพ้นผิด คำเบิกความของ ข.จึงมีข้อน่าสงสัยนอกจากนี้คำเบิกความของ ป. และ ข.ก็ยังแตกต่างและขัดแย้งกันในข้อสาระสำคัญหลายประการย่อมทำให้เกิดข้อพิรุธสงสัย ชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธตลอดจนได้ความว่าคดีอาญาก่อนของศาลชั้นต้นมี ป.ถูกฟ้องเพียงคนเดียว ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ถูกฟ้องด้วยทั้ง ๆ ที่เป็นมูลคดีเดียวกัน พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่แน่ชัดพอ ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองและเนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในความผิดลักทรัพย์ฐานเดียวกัน เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรจึงเป็นเหตุให้ส่วนลักษณะคดีแม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาและคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้มีผลตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213,225 จำเลยที่ 2 มีบ้านอยู่ใกล้กับบ่อเลี้ยงปลาของผู้เสียหายและทราบดีว่า ป. เป็นคนเฝ้าบ่อปลาให้กับผู้เสียหาย ดังนั้นการที่ป. นำปลาดุก เลี้ยงจำนวนมากถึง 42 กิโลกรัมมาขายให้แก่จำเลยที่ 2 ในเวลาวิกาลประมาณ 4 นาฬิกา และขายในราคา ต่ำเพียงกิโลกรัมละ 8 บาท ในขณะที่จำเลยที่ 2 สามารถนำไป ขายต่อได้ถึงกิโลกรัมละ 22 บาท เช่นนี้ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยที่ 2 ทราบว่า ป.ลักปลาดุก เลี้ยงของผู้เสียหายมา การที่จำเลยที่ 2 รับซื้อไว้จึงเป็นความผิดฐานรับของโจร แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2ในข้อหาความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานรับของโจรก็ไม่ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยที่ 2ก็มิได้หลงต่อสู้ ศาลจึงลงโทษจำเลยที่ 2 ในข้อหาความผิดฐานรับของโจรได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง และวรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3992/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษฐานรับของโจร แม้ฟ้องฐานลักทรัพย์ เหตุความผิดไม่ต่างกันในสาระสำคัญ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร ก็ไม่ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลล่างทั้งสองก็ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคสาม ไม่ถือว่าพิพากษาเกินคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3992/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาแก้โทษจากลักทรัพย์เป็นรับของโจร ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษตามข้อเท็จจริงตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรก็ไม่ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลล่างทั้งสองก็ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามข้อเท็จจริง ที่ได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม ไม่ถือว่าพิพากษาเกินคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3235/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร: ศาลลงโทษได้ตามข้อเท็จจริง แม้ฟ้องเฉพาะฐานลักทรัพย์
ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคสาม บัญญัติให้การกระทำความผิดระหว่างฐานลักทรัพย์และรับของโจรมิให้ถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ แต่เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดเท่านั้น และไม่ให้ถือว่าเป็นกรณีเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษด้วย เว้นแต่จำเลยจะหลงต่อสู้ เมื่อคดีนี้แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ แต่จำเลยให้การและนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์ของกลาง จึงมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยหลงต่อสู้อันจะได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติดังกล่าว ศาลจึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณานั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3235/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานรับของโจร แม้ฟ้องฐานลักทรัพย์ หากจำเลยปฏิเสธและมีเหตุผล ศาลลงโทษฐานรับของโจรได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสามบัญญัติให้การกระทำความผิดระหว่างฐานลักทรัพย์และรับของโจรมิให้ถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญแต่เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดเท่านั้น และไม่ให้ถือว่าเป็นกรณีเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษด้วย เว้นแต่จะหลงต่อสู้ เมื่อคดีนี้แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ แต่จำเลยให้การและนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์ของกลางจึงมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยหลงต่อสู้อันจะได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติดังกล่าว ศาลจึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณานั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3097/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร: เงินและทรัพย์สินที่ได้มาไม่เชื่อมโยงกับการปล้นทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์หรือรับของโจรเงินตราต่างประเทศของผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์และรูปคดีมีความสงสัยตามสมควรว่าธนบัตรเงินตราต่างปะเทศที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดจากจำเลยที่ 1 เป็นของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปหรือไม่จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1 ไป ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 227วรรคสอง และฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดฐานรับของโจร ส่วนทรัพย์ของกลางตามฟ้องที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดมาจากจำเลยที่ 2 เมื่อไม่มีเงินตราต่างประเทศของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปรวมอยู่ด้วย ทรัพย์ของกลางดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้โจทก์จะฎีกาว่า ของกลางเหล่านั้นอันได้แก่ สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1 เส้น พร้อมพระเครื่องเลี่ยมทองคำจำนวน 1 องค์ เป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 นำเงินที่ได้รับจากส่วนแบ่งปล้นทรัพย์รายนี้ไปซื้อมา ส่วนธนบัตรสกุลเงินบาทก็เป็นเงินส่วนแบ่งที่จำเลยที่ 2 ได้รับมาและยังคงเหลืออยู่ก็ตาม ของกลางดังกล่าวเมื่อมิใช่ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ จึงไม่มีทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร คดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีความผิดฐานรับของโจรเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3097/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานรับของโจรต้องมีทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด หากไม่มีทรัพย์ที่ได้มาโดยตรงจากความผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้จะมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ไม่ถือว่ามีความผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์หรือรับของโจรเงินตราต่างประเทศของผู้เสียหายแต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์และรูปคดีมีความสงสัยตามสมควรว่าธนบัตรเงินตราต่างประเทศที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดจากจำเลยที่ 1 เป็นของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปหรือไม่จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1 ไป ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดฐานรับของโจร ส่วนทรัพย์ของกลางตามฟ้องที่เจ้าพนักงานตำรวจยึด มาจากจำเลยที่ 2 เมื่อไม่มีเงินตราต่างประเทศของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปรวมอยู่ด้วย ทรัพย์ของกลางดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้โจทก์จะฎีกาว่า ของกลางเหล่านั้นอันได้แก่ สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1 เส้นพร้อมพระเครื่องเลี่ยมทองคำจำนวน 1 องค์ เป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 นำเงินที่ได้รับจากส่วนแบ่งปล้นทรัพย์รายนี้ไปซื้อมา ส่วนธนบัตรสกุลเงินบาทก็เป็นเงินส่วนแบ่งที่จำเลยที่ 2 ได้รับมาและยังคงเหลืออยู่ก็ตามแต่ของกลางดังกล่าวเมื่อมิใช่ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ จึงไม่มีทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร คดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร จำเลยที่ 2ย่อมไม่มีความผิดฐานรับของโจรเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 275/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจร: หลักฐานไม่ชัดเจน ผู้ต้องสงสัยได้รับประโยชน์แห่งความสงสัย
ทรัพย์สินของผู้เสียหายที่แจ้งสูญหายไว้ต่อประชาสัมพันธ์ศูนย์การค้ามีเงินสด 2,000 บาท และทรัพย์สินอื่นอีก 3 รายการโดยไม่มีบัตรโทรศัพท์แต่อย่างใดแต่ทรัพย์สินของกลางที่ค้นได้จากตัวจำเลยมีเพียงเงินสด 5,000 บาท กับบัตรโทรศัพท์และใบมีดโกน เท่านั้น ผู้เสียหายรับว่าเงินสด 5,000 บาทจะใช่ของผู้เสียหายหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ ส่วนบัตรโทรศัพท์นั้นผู้เสียหายมิได้ทำตำหนิไว้เป็นพิเศษเป็นบัตรโทรศัพท์ที่ประชาชนสามารถหาซื้อโดยทั่วไป เช่นนี้ เงินสดและบัตรโทรศัพท์ของกลางที่ค้นได้จากตัวจำเลยหาได้มีหลักฐานใดที่ยืนยันได้ชัดแจ้งว่าเป็นของผู้เสียหายไม่ แม้ผู้เสียหายอ้างว่าบัตรโทรศัพท์ดังกล่าวผู้เสียหายใช้ไปแล้ว 1 ครั้ง เป็นเงิน 23 บาทยังเหลืออยู่ 77 บาทและเจ้าพนักงานตำรวจนำไปตรวจสอบดูปรากฏว่ามีจำนวนเงินเหลือตรงกันก็ตาม ก็มิอาจเชื่อได้โดยสนิทใจว่าบัตรโทรศัพท์ดังกล่าวเป็นของผู้เสียหาย เพราะในข้อนี้จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยใช้บัตรโทรศัพท์ไป 1 ครั้ง เป็นเงิน 23 บาทเช่นกัน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังฟังไม่ได้แน่ชัดว่าเงินสดและบัตรโทรศัพท์ของกลางเป็นของผู้เสียหาย กรณีมีเหตุควรสงสัยว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดในข้อหารับของโจรต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 187/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับซื้อทรัพย์ที่ได้มาจากการลักทรัพย์ โดยผู้ซื้อรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย มีความผิดฐานรับของโจร
รถยนต์กระบะของกลางมีสภาพเป็นรถใหม่ผู้เสียหายซื้อมาก่อนเกิดเหตุ 5 เดือน ราคา 335,000 บาท แต่ขณะที่จำเลยรับซื้อรถยนต์กระบะของกลางปรากฏว่าไม่มีกุญแจและบริวารกุญแจไขประตูและกุญแจสตาร์ทชำรุด ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ป้ายวงกลมและหลักฐานการทำประกันภัยก็ไม่มีที่รถ ในชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้รับซื้อรถยนต์กระบะของกลางไว้ในราคา 80,000 บาท ดังนี้ ตามพฤติการณ์พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยรับซื้อรถยนต์กระบะของกลางโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร