คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
รู้เห็นเป็นใจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 120 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2996/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาผู้ให้เช่าซื้อเพิกเฉยต่อการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ถือเป็นการรู้เห็นเป็นใจต่อการกระทำผิด
แม้สัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดกัน ให้ถือว่าสัญญาเลิกกันทันที แต่การที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดสองงวดติดกันแล้ว ผู้ร้องยินยอมรับค่าเช่าซื้องวดแรกจากผู้เช่าซื้อหลังจากกำหนดเวลาตามสัญญาถึง 7 เดือน โดยมิได้เลิกสัญญาหรือยึดรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืน แสดงว่าผู้ร้องมิได้ถือเอากำหนดเวลาที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญ และไม่ประสงค์จะเลิก สัญญา เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดอีกกว่า 20 งวด ผู้ร้องก็เพียงแต่ติดตามทวงถามค่าเช่าซื้อเท่านั้นประกอบกับสัญญาเช่าซื้อระบุว่าในกรณีทรัพย์สินที่เช่าซื้อสูญหาย หรือเสียหายไม่ว่าด้วยเหตุสุดวิสัยก็ดี หรือเหตุอื่นใดก็ดีฯลฯ ผู้เช่าซื้อตกลงจะใช้ราคาทรัพย์สินเต็มจำนวนตามสัญญาเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้นผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาหรือติดตามรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนจนกระทั่งจำเลยนำรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้กระทำความผิดและถูกริบถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2996/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาของผู้ให้เช่าซื้อที่เพิกเฉยต่อการผิดนัดชำระของลูกหนี้ แสดงถึงเจตนาที่จะรับค่าเช่าซื้อเป็นหลัก และอาจถือเป็นความรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด
แม้สัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดกัน ให้ถือว่าสัญญาเลิกกันทันที แต่การที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดสองงวดติดกันแล้วผู้ร้องยินยอมรับค่าเช่าซื้องวดแรกจากผู้เช่าซื้อหลังจากกำหนดเวลาตามสัญญาถึง 7 เดือนโดยมิได้เลิกสัญญาหรือยึดรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนแสดงว่าผู้ร้องมิได้ถือเอากำหนดเวลาที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญ และไม่ประสงค์จะเลิกสัญญา เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดอีกกว่า 20 งวด ผู้ร้องก็เพียงแต่ติดตามทวงถามค่าเช่าซื้อเท่านั้น ประกอบกับสัญญาเช่าซื้อระบุว่าในกรณีทรัพย์สินที่เช่าซื้อสูญหาย หรือเสียหายไม่ว่าด้วยเหตุสุดวิสัยก็ดี หรือเหตุอื่นใดก็ดี ฯลฯ ผู้เช่าซื้อตกลงจะใช้ราคาทรัพย์สินเต็มจำนวนตามสัญญาเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้น ผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาหรือติดตามรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนจนกระทั่งจำเลยนำรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้กระทำความผิดและถูกริบ ถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2996/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาของผู้ให้เช่าซื้อที่เพิกเฉยต่อการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ย่อมถือได้ว่ารู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิดของผู้เช่าซื้อ
แม้สัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดกัน ให้ถือว่าสัญญาเลิกกันทันที แต่การที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดสองงวดติดกันแล้วผู้ร้องยินยอมรับค่าเช่าซื้องวดแรกจากผู้เช่าซื้อหลังจากกำหนดเวลาตามสัญญาถึง 7 เดือนโดยมิได้เลิกสัญญาหรือยึดรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืน แสดงว่าผู้ร้องมิได้ถือเอากำหนดเวลาที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญ และไม่ประสงค์จะเลิกสัญญา เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดอีกกว่า 20 งวด ผู้ร้องก็เพียงแต่ติดตามทวงถามค่าเช่าซื้อเท่านั้นประกอบกับสัญญาเช่าซื้อระบุว่าในกรณีทรัพย์สินที่เช่าซื้อสูญหาย หรือเสียหายไม่ว่าด้วยเหตุสุดวิสัยก็ดี หรือเหตุอื่นใดก็ดีฯลฯ ผู้เช่าซื้อตกลงจะใช้ราคาทรัพย์สินเต็มจำนวนตามสัญญาเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้นผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาหรือติดตามรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนจนกระทั่งจำเลยนำรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้กระทำความผิดและถูกริบถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนแร่เกินใบอนุญาต การพิสูจน์เจตนา/รู้เห็นเป็นใจของเจ้าของแร่ และขอบเขตการริบของกลาง
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าเป็นตัวการตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 10 และพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ในปัญหานี้ ดังนั้นการที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จึงเป็นฎีกาในปัญหาที่ยุติแล้ว และเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 วรรคท้าย แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่3) พ.ศ. 2522 มาตรา 19 บัญญัติว่า'การขนแร่เกินใบอนุญาตที่มิได้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวงให้ถือว่าแร่ที่ขนทั้งสิ้นนั้นเป็นแร่ที่ขนโดยไม่ได้รับอนุญาต' หมายความว่าเจ้าของแร่หรือผู้ถืออาชญาบัตรผู้ถือประทานบัตรชั่วคราว ผู้ถือประทานบัตรหรือผู้รับใบอนุญาตจะต้องมีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจในการขนแร่เกินใบอนุญาตด้วยเมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ขนแร่ดีบุกจำนวน 11 กระสอบโดยได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขับรถยนต์ไปบรรทุกแร่ดีบุกจากท.คนเฝ้ารักษษแร่ดีบุกของจำเลยที่2ท. ได้ยักยอกแร่ดีบุกของจำเลยที่ 2บรรทุกไปในรถยนต์คันดังกล่าวอีก 15 กระสอบกรณีแร่ดีบุกจำนวน 15 กระสอบนี้จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจที่จะให้ขนเกินไปจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาตขนแร่ หากแต่เป็นการกระทำโดยพลการของ ท. เอง จึงถือไม่ได้ว่าแร่ของกลางทั้งหมดเป็นแร่ที่ขนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 110 และริบไม่ได้ตามมาตรา 154.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3718/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ไม่มีสิทธิขอคืน
เมื่อคดีเดิม ซึ่งศาลสั่งริบเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางเพราะเห็นว่าเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดถึงที่สุดโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา การที่ผู้ร้องมาร้องขอคืนเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางจึงไม่มีข้อที่จะวินิจฉัยได้อีกว่าเครื่องรับโทรทัศน์ดังกล่าวเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการเล่นการพนันหรือไม่ เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ผู้ร้องจึงไม่อาจมาร้องขอคืนเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางและการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ร้องในคดีอาญา ผู้ร้องต้องนำสืบหลักฐานยืนยันว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจ
โจทก์บรรยายในคำฟ้องว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยรถยนต์บรรทุกซึ่งจำเลยใช้เป็นพาหนะในการกระทำความผิดเป็นของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่ารถยนต์บรรทุกที่ผู้ร้องขอคืนเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลที่ให้ริบรถยนต์ดังกล่าวจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้คืนรถยนต์ของกลางด้วยเหตุว่ารถยนต์ของกลางดังกล่าวมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดไม่ได้
การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา เมื่อผู้ร้องอ้างว่าของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ก็เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1788/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของร้านตัดผมทราบเห็นการพนันในร้าน ย่อมไม่มีสิทธิขอคืนเครื่องรับโทรทัศน์ที่ใช้ในการพนัน
เหตุเกิดในร้านตัดผมของผู้ร้อง ผู้ร้องเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ให้คนในร้านและนอกร้านดูรายการถ่ายทอดการชกมวยซึ่งมีการเล่นพนันกันด้วยและผู้ร้องก็ทราบดี จำเลย 4 คนซึ่งพนันการชกมวยถูกจับและศาลพิพากษาลงโทษกับให้ริบเครื่องรับโทรทัศน์นั้นซึ่งถูกยึดเป็นของกลางเมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการเล่นพนันดังกล่าว ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนเครื่องรับโทรทัศน์แก่ผู้ร้อง.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1785/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมโดยปริยายและการรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด ผู้เช่าซื้อรถยนต์ไม่มีสิทธิขอคืนของกลาง
รถยนต์ของกลางเป็นรถยนต์ที่สามีจำเลยเช่าซื้อจากผู้ร้องเมื่อจำเลยนำไปใช้ในการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ครั้งแรกผู้ร้องได้ร้องขอคืนรถยนต์มาแล้วก็นำมาให้จำเลยและสามีจำเลยครอบครองต่อไปแทนที่จะเลิกสัญญาพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าผู้ร้องประสงค์เพียงค่าเช่าซื้อเท่านั้น จำเลยและสามีจำเลยจะนำรถยนต์ไปใช้อย่างไรก็ได้จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้งานในการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้อีก จึงเข้าลักษณะผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1726/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรถยนต์ให้เช่าซื้อ ย่อมไม่มีสิทธิขอรถคืน หากรู้เห็นการใช้รถในการกระทำผิด และยินยอมรับค่าเช่าซื้อต่อ
ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง ได้ให้ ส. เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไป ต่อมาจำเลยขอยืมรถยนต์จากส.ไปใช้ในการกระทำผิด ผู้ร้องทราบจาก ส. และจำเลยว่าจำเลยนำรถยนต์ไปใช้ในการกระทำผิดแต่กลับตกลงให้จำเลย และ ส. ชำระค่าเช่าซื้อต่อมาโดยมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ แสดงว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงที่จะได้รับค่าเช่าซื้อตามสัญญาเท่านั้น เมื่อผู้ร้องมาร้องขอรถยนต์ของกลางคืนจึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้เช่าซื้อและจำเลยที่จะได้รับรถยนต์ของกลางกลับไปในภายหลัง ตามพฤติการณ์ถือว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดด้วย จึงไม่มีสิทธิขอของกลางคืน(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถเช่าซื้อเมื่อผู้เช่ากระทำผิด แม้มีข้อตกลงชดใช้ค่าเช่า ผู้เช่ายังมีสิทธิขอคืนได้หากเจ้าของมิได้รู้เห็นเป็นใจ
ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางได้ให้ช.เช่าซื้อไปในระหว่างสัญญาเช่าซื้อจำเลยนำรถยนต์ดังกล่าวไปใช้บรรทุกแร่จนมีน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและศาลสั่งริบรถยนต์บรรทุกของกลางเมื่อปรากฏว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดย่อมมีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์ของกลางได้แม้สัญญาเช่าซื้อมีข้อกำหนดว่าถ้ารถถูกยึิดหรือตกเป็นของรัฐผู้เช่ายินยอมชดใช้ราคาค่าเช่าซื้อที่เหลือทั้งหมดให้เจ้าของทันทีก็เป็นเพียงข้อตกลงให้ผู้ร้องได้ค่าเช่าซื้อโดยครบถ้วนเท่านั้นไม่มีผลเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลาง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
of 12