คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
วินิจฉัยนอกประเด็น

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 94 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1658/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นนอกคำขอ และประเด็นที่ไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้ แม้โจทก์ไม่ฎีกา
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ ไม่ได้ตั้งประเด็นว่าที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 309 เป็นสินสมรสหรือไม่ด้วย การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 309 เป็นสินสมรส จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสนั้น จำเลยไม่อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าที่พิพาทเป็นสินสมรส การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นการพิพากษาประเด็นเป็นการไม่ชอบ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้โจทก์จะไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5068/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อต่อสู้ในคำให้การ - การสละสิทธิเรียกร้อง - การวินิจฉัยนอกประเด็น
กรณีที่จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ หากจำเลยประสงค์จะให้ศาลวินิจฉัยปัญหาข้อใดเป็นคุณแก่ตน ก็ต้องกล่าวข้อเท็จจริงเป็นข้อต่อสู้ไว้ให้ชัดแจ้งในคำให้การเพื่อให้คดีมีประเด็นข้อพิพาทไว้ คำให้การที่ว่า "โจทก์ฟ้องคดีไม่สุจริตทั้งนี้ก่อนออกจากบริษัท จำเลยโดยความเมตตาต่อโจทก์ ได้มอบเงิน 19,000 บาท ให้โจทก์และผลประโยชน์อื่น ๆ แก่โจทก์โดยจำเลยมิจำเป็นต้องให้โจทก์แต่ประการใดแต่ทั้งนี้เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม" เป็นคำให้การที่ไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ได้สละสิทธิเรียกร้องเงินตามฟ้องของโจทก์หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยนอกประเด็นในคดีแพ่งที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาที่ยังไม่ถึงที่สุด และการพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่
โจทก์ฟ้องว่า อ. ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงขายที่ดินให้โจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่เต็มตามโฉนด โจทก์หลงเชื่อจึงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวกับ อ. ภายหลังโจทก์รังวัดที่ดินดังกล่าวได้เนื้อที่ไม่เต็มตามโฉนด โดยบางส่วนถูกตัดเป็นถนนโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่ อ. ขอเรียกมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหาย ประเด็นมีว่าการซื้อขายที่ดินดังกล่าวเกิดจากการหลอกลวงของ อ. หรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์สำคัญผิดในจำนวนที่ดินซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
อ.ถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาฉ้อโกง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ระหว่างอายุอุทธรณ์ อ. ถึงแก่กรรม โจทก์จึงฟ้องทายาทและผู้จัดการมรดก อ. เป็นจำเลยคดีแพ่งว่า อ.ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงขายที่ดินให้โจทก์เรียกเงินมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหาย แม้คดีอาญาข้อหาฉ้อโกงจะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่โจทก์อาจอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย หรืออาจได้รับการรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีอาญาระงับไปก่อนคดีถึงที่สุด. ดังนั้นจะนำข้อเท็จจริงในคดีอาญามารับฟังในคดีแพ่งไม่ได้ ต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลวินิจฉัยนอกประเด็นเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไม่ถูกต้อง และข้อเท็จจริงจากคดีอาญาที่ยังไม่ถึงที่สุดนำมาใช้ไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่าอ.ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงขายที่ดินให้โจทก์โดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่เต็มตามโฉนดโจทก์หลงเชื่อจึงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวกับอ.ภายหลังโจทก์รังวัดที่ดินดังกล่าวได้เนื้อที่ไม่เต็มตามโฉนดโดยบางส่วนถูกตัดเป็นถนนโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่อ.ขอเรียกมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหายประเด็นมีว่าการซื้อขายที่ดินดังกล่าวเกิดจากการหลอกลวงของอ.หรือไม่การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์สำคัญผิดในจำนวนที่ดินซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น. อ.ถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาฉ้อโกงศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีอยู่ระหว่างอายุอุทธรณ์อ.ถึงแก่กรรมโจทก์จึงฟ้องทายาทและผู้จัดการมรดกอ.เป็นจำเลยคดีแพ่งว่าอ.ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงขายที่ดินให้โจทก์เรียกเงินมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหายแม้คดีอาญาข้อหาฉ้อโกงจะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแต่โจทก์อาจอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายหรืออาจได้รับการรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้คดีอาญาระงับไปก่อนคดีถึงที่สุด.ดังนั้นจะนำข้อเท็จจริงในคดีอาญามารับฟังในคดีแพ่งไม่ได้ต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมที่ลงลายพิมพ์นิ้วมือและพยาน การวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์ และข้อห้ามฎีกา
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองที่ผู้ทำลงลายพิมพ์นิ้วมือและมีผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานสองคน กับมีปลัดอำเภอรักษาราชการแทนปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอเป็นผู้จัดทำและลงลายมือชื่อด้วย แต่มิได้ประทับตราตำแหน่งไว้เป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1655 (4) นั้น เป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ในฐานะที่เป็นพินัยกรรมธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 และมาตรา 1665
คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยให้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เป็นการไม่ชอบ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนนี้ไม่มีผล การที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้มาอีก จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินจฉัย
คำแก้ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกา จะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมลงลายพิมพ์นิ้วมือและพยาน การแบ่งทรัพย์มรดก และการวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองที่ผู้ทำลงลายพิมพ์นิ้วมือและมีผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานสองคนกับมีปลัดอำเภอรักษาราชการแทนปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอเป็นผู้จัดทำและลงลายมือชื่อด้วยแต่มิได้ประทับตราตำแหน่งไว้เป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1655(4)นั้นเป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ในฐานะที่เป็นพินัยกรรมธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1656และมาตรา1665. คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนนี้ไม่มีผลการที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้มาอีกจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ศาลฎีกาไม่รับวินจฉัย. คำแก้ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้นต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกาจะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1856/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทในสัญญาซื้อขาย/เช่าซื้อ และการแปลงหนี้
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงประเด็นเดียวว่า หนังสือสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ ดังนี้เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าหนังสือสัญญากู้ดังกล่าวไม่ใช่สัญญาปลอมแล้ว จะวินิจฉัยว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ หนี้ตามสัญญากู้ไม่สมบูรณ์เพราะไม่ระบุจำนวนเงิน โจทก์นำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมข้อความในสัญญากู้ต้องห้ามไม่ให้รับฟัง หาได้ไม่ เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทและการวินิจฉัยนอกประเด็นในคดีละเมิดทางรถยนต์ จำเลยไม่ต้องรับผิดหากโจทก์สืบไม่ได้ถึงความสัมพันธ์
คดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า นายบุญหยกหรือนายไพเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเลินเล่อ และจำเลยทั้งสองกับนายไพมีนิติสัมพันธ์กันหรือไม่ แล้วฟังว่าเหตุที่รถยนต์ชนกันเกิดจากนายไพขับรถของจำเลยที่ 1 โดยประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียว แต่จำเลยทั้งสองกันนายไพไม่มีนิติสัมพันธ์กันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสองกับนายไพมีนิติสัมพันธ์กันต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสองมิได้แก้อุทธรณ์ว่าความจริงขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์ชอบที่วินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยทั้งสองกับนายไพมีนิติสัมพันธ์กันหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของจำเลยที่1 โดยประมาทชนรถยนต์ของนายบุญหยกและพิพากษาให้จำเลยที่2 รับผิดต่อโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2806/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อลูกจ้างและการรับผิดในผลละเมิด การวินิจฉัยนอกประเด็นและผลของคำพิพากษาในคดีอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำไปตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาและนายจ้างของจำเลยที่ 1 ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 ไว้เพียงประการเดียวว่า จำเลยที่ 1 ทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะวินิจฉัยไปตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ จะวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการโดยจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนและให้ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่ เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและเมื่อข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 กับ ส.ลูกจ้างของโจทก์ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คร่อมเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนและล้ำเข้าไปในช่องทางเดินรถของ ส. แล้วเฉี่ยวชนรถยนต์คันที่ ส.ขับลงโทษปรับจำเลยที่ 1 ยกฟ้อง ส. ดังนั้นในการพิพากษาคดีนี้ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ตามที่ปรากฏในคำพิพากษาดังกล่าว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3169/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชี้สองสถาน, ประเด็นข้อพิพาท, การซื้อขายทอดตลาด, สิทธิในทรัพย์สิน, การวินิจฉัยนอกประเด็น
ผู้ร้องสอดร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จึงมีฐานะเช่นเดียวกับจำเลยดังนั้นเมื่อผู้ร้องสอดยื่นคำให้การแล้ว โจทก์จึงไม่จำต้องยื่นคำคัดค้านคำให้การของผู้ร้องสอดอีกกรณีย่อมถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์คือคำคัดค้านคำให้การของผู้ร้องสอดอยู่ในตัว
เอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องศาลย่อมหยิบยกเอาเอกสารท้ายฟ้องมาวินิจฉัยคดีโดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องได้
ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานในวันที่ 3 ตุลาคม 2522 และกำหนดประเด็นพิพาท 3 ข้อคือ ข้อแรก จำเลยอยู่ในตึกและที่ดินที่เป็นของโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ข้อสองโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาทแล้วหรือไม่ ข้อสามโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่ หลังจากนั้นผู้ร้องสอดจึงยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว ผู้ร้องสอดจึงได้ยื่นคำให้การ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2522 ต่อมาวันที่ 4 ธันวาคม 2522 อันเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า'ศาลได้พิเคราะห์คำให้การจำเลยร่วมแล้วเห็นว่าจำเลยร่วมต่อสู้ในประเด็นที่ว่าตึกและที่ดินรายพิพาทมิได้เป็นของโจทก์ทำนองเดียวกับที่จำเลยได้ต่อสู้ไว้แล้วเป็นแต่จำเลยร่วมยกข้อต่อสู้เพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจึงให้เพิ่มประเด็นข้อพิพาทขึ้นอีกข้อหนึ่งเป็นข้อที่สี่ว่าฟ้องโจทก์'เคลือบคลุมหรือไม่'การดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวของศาลชั้นต้นมิใช่เป็นการชี้สองสถานดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 เพราะศาลกำหนดเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ มิใช่วันนัดชี้สองสถานทั้งไม่ปรากฏว่าศาลได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์เทียบกับคำให้การของผู้ร้องสอดหรือไม่ประเด็นเรื่องสิทธิของโจทก์ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดเสียไปหรือไม่จึงยังคงมีอยู่ทั้งการที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่าประเด็นข้อนี้เป็นประเด็นเดียวกับประเด็นที่ว่าตึกและที่ดินพิพาทมิได้เป็นของโจทก์ทำนองเดียวกับที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้นั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าตึกและที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์ระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่มีประเด็นพิพาทว่าตึกและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงกำหนดประเด็นพิพาทระหว่างโจทก์และผู้ร้องสอดไม่ตรงตามคำฟ้องและคำให้การแต่ปรากฏว่าโจทก์และผู้ร้องสอดได้นำสืบในประเด็นข้อนี้ครบถ้วนและศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
of 10