พบผลลัพธ์ทั้งหมด 254 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1441/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนออกเงินทดรองจ่าย: ศาลพิพากษายืนตามสัญญา หากมีหลักฐานชัดเจนถึงการทดรองจ่ายจริง
การที่จำเลยมอบอำนาจให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภ. เป็นตัวแทนในการจัดสรรที่ดินและปลูกบ้านขายโดยให้มีอำนาจตั้งตัวแทนช่วงได้แล้วห้างหุ้นส่วนจำกัด ภ. มอบอำนาจให้โจทก์เป็นตัวแทนช่วงโจทก์จึงกระทำการต่าง ๆ เกี่ยวกับการปลูกสร้างบ้านและจัดสรรที่ดินของจำเลยเป็นขั้นตอนหลายประการจนถึงขนาดจำเลยมอบอำนาจโดยตรงให้โจทก์เป็นผู้ชี้แจงเรื่องภาษีต่อเจ้าหน้าที่สรรพากรเช่นนี้จำเลยกับโจทก์จึงมีนิติสัมพันธ์กันในฐานะตัวการตัวแทนตลอดมาโจทก์มีอำนาจออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยและเรียกให้จำเลยรับผิดชดใช้คืนให้แก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันบังคับได้ หากไม่ใช่พินัยกรรมและศาลพิพากษาตามยอม ที่ดินจึงตกเป็นของผู้รับประโยชน์ตามสัญญา
เดิม ฝ. ฟ้อง ป. ขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณต่อมาได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าว โดย ป.ยอมคืนที่พิพาทให้ ฝ.และฝ. ยอมให้ ป. ทำกินในที่พิพาทโดย ป. ยอมให้ข้าวเปลือกแก่ ฝ.ปีละ120กิโลกรัมห้ามฝ.จำหน่ายจ่ายโอนที่พิพาท เมื่อ ฝ. ถึงแก่กรรมให้ที่พิพาทตกเป็นของ ป. ตามเดิม สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่ใช่พินัยกรรมแต่เป็นสัญญาที่ ฝ. กับ ป. ทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกันและไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้วสัญญาดังกล่าวจึงมีผลบังคับได้ และการที่ตกลงกันว่า เมื่อ ฝ.ถึงแก่กรรม ให้ที่พิพาทตกเป็นของ ป. เมื่อ ฝ. ถึงแก่กรรมที่พิพาทจึงตกเป็นของ ป. ตามคำพิพากษาตามยอม มิใช่เป็นมรดกของ ฝ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 828/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัส ศาลพิพากษาลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้ แม้ฟ้องฐานปล้นทรัพย์
ความผิดฐานปล้นทรัพย์มีองค์ประกอบมาจากการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ และการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ มีองค์ประกอบมาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความผิดฐานปล้นทรัพย์ได้รวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัว ฉะนั้น การใช้กำลังประทุษร้ายจึงเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ด้วย การที่โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานปล้นทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดเข้าลักษณะขององค์ประกอบฐานใดฐานหนึ่งของการกระทำความผิดในข้อหาที่ฟ้องศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหก ดังนั้นคดีนี้เมื่อฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายสาหัส ตาม ป.อ. มาตรา 297 ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2998/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องคดีเดิมด้วยเหตุและเอกสารหลักฐานชุดเดียวกัน ศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่มีหนังสือสัญญาค้ำประกันมาแสดง คดีถึงที่สุดโจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับเดียวกับที่ฟ้องในคดีก่อน จึงเป็นการฟ้องขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางซ้ำ: ศาลพิพากษาให้ริบของกลางที่ศาลชั้นต้นริบไปแล้วไม่ได้
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาริบกัญชาของกลางไว้ในคดีอื่นแล้วและโจทก์มิได้ขอให้ริบในคดีนี้ ศาลจะพิพากษาให้ริบกัญชาของกลางอีกไม่ได้ เป็นการริบของกลางซ้ำและเกินคำขอ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีอาวุธปืนเถื่อนและการพาอาวุธไปข่มขู่ผู้อื่น ศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนสั้นไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และได้พาอาวุธปืนดังกล่าวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจำเลยให้การปฏิเสธโจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ปรากฏว่าอาวุธปืนนั้นเป็นอาวุธปืนที่จำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายให้มีได้และจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตให้พาอาวุธปืนติดตัวเมื่อพยานบุคคลและพยานเอกสารของโจทก์ไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวทั้งโจทก์ไม่ได้นำอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯได้แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวออกมาขู่ผู้เสียหายเป็นการพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา371
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 828/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้ด้วยการชำระหนี้ตามเช็ค: ศาลต้องฟังพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์การชำระหนี้ที่แท้จริง
หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 และยึดได้ซองกระสุนขนาด .38 จำนวน 1 ซอง ได้จากกระเป๋าเดินทางที่ฝาบ้านจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนขนาด .38 ไว้ในครอบครอง ดังนี้ จำเลยที่ 1ยังไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืน (ซองกระสุนขนาด .38) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ป.อ. มาตรา 33(1) เป็นเพียงกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ศาลในการลงโทษริบทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด แต่ศาลจะพิพากษาหรือสั่งเองโดยโจทก์มิได้ฟ้องหรือมีคำขอมาท้ายฟ้องหาได้ไม่ เพราะตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรกห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้มีคำขอให้ริบของกลาง ศาลจึงพิพากษาหรือสั่งริบของกลางไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3653/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันมีผลต่อเนื่องจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษากลับ หรือมีการทำสัญญาค้ำประกันใหม่
สัญญาค้ำประกันที่ผู้ร้องทำต่อศาลชั้นต้นในชั้นขอทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ ผู้ร้องเป็นผู้รับผิดชอบแทนจำเลย โดยยินยอมชำระเงินตามคำสั่งศาลแทนจนครบ สัญญาค้ำประกันดังกล่าวมิได้ยุติเพียงศาลอุทธรณ์พิพากษาเท่านั้น หากผู้ร้องประสงค์จะ ผูกพันตนเพียงชั้นศาลอุทธรณ์ก็ควรเพิ่มเติมข้อจำกัดความรับผิดชอบ นั้นไว้ในสัญญาโดยชัดแจ้ง ดังนั้นความรับผิดของผู้ร้องตามสัญญา ค้ำประกันดังกล่าวจะสิ้นไปก็ต่อเมื่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ศาลใดศาลหนึ่งพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์หรือในระหว่างฎีกา ได้มีการทำหนังสือสัญญาค้ำประกันขึ้นใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2153/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต้องมีคำขอให้บังคับโจทก์ มิใช่แค่ขอให้ศาลพิพากษาว่าสิทธิเป็นของจำเลย
ฟ้องแย้งจะต้องเป็นคำฟ้องที่มีสภาพแห่งข้อหาว่า โจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมอย่างไร และคำขอบังคับคือจะให้ศาลบังคับโจทก์ให้กระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างไรในเรื่องที่ถูกโต้แย้งสิทธิ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีคำขอให้ศาลบังคับโจทก์ให้กระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างไรบ้าง ส่วนคำขอท้ายฟ้องแย้งที่ว่าขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามกรอบสีแดงท้ายฟ้องแย้งเป็นสิทธิของจำเลยนั้น หาใช่คำขอบังคับโจทก์ไม่ คำขอส่วนนี้ศาลวินิจฉัยได้ตามฟ้องเดิมอยู่แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องแย้งที่ศาลจะรับไว้พิจารณา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสซ้อนเป็นโมฆะ ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องขอให้ศาลพิพากษาเป็นโมฆะได้
ส. จดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่นอยู่ก่อนแล้ว จึงมาจดทะเบียนสมรสซ้อนกับ จ. จ. จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องขอให้อัยการร้องขอต่อศาลให้พิพากษาว่าการสมรสระหว่าง ส.กับ จ. เป็นโมฆะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497.