คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลวินิจฉัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 228 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5609/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยค่าล่วงเวลา: ศาลต้องวินิจฉัยสิทธิลูกจ้างตามที่ฟ้อง
เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างชำระดอกเบี้ยของค่าล่วงเวลาในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี และศาลแรงงานกลางได้กำหนดประเด็นพิพาทไว้แล้ว การที่ศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของค่าล่วงเวลาตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่เพียงใด จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 51
นายจ้างที่ไม่ชำระค่าล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้าง ลูกจ้างย่อมมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากนายจ้างในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่ผิดนัด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 31 วรรคแรก ซึ่งตามข้อ29 (1) ลูกจ้างจะได้รับค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่าเดือนละหนึ่งครั้ง เมื่อนายจ้างมิได้ชำระแต่ละเดือน จึงถือว่าผิดนัดตั้งแต่วันที่จะต้องชำระในแต่ละเดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5609/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลต้องวินิจฉัยดอกเบี้ยค่าล่วงเวลาตามคำขอท้ายฟ้อง แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาถึงเรื่องค่าล่วงเวลาแล้ว
เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างชำระดอกเบี้ยของค่าล่วงเวลาในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี และศาลแรงงานกลางได้กำหนดประเด็นพิพาทไว้แล้ว การที่ศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของค่าล่วงเวลาตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่เพียงใด จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 51 นายจ้างที่ไม่ชำระค่าล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้างลูกจ้างย่อมมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากนายจ้างในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่ผิดนัด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 31 วรรคแรกซึ่งตามข้อ 29(1) ลูกจ้างจะได้รับค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่าเดือนละหนึ่งครั้ง เมื่อนายจ้างมิได้ชำระแต่ละเดือนจึงถือว่าผิดนัดตั้งแต่วันที่จะต้องชำระในแต่ละเดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5403/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้อง: สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและค้ำประกัน
เมื่อจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์ที่ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและค้ำประกันหรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ตกลงไม่คิดดอกเบี้ยหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า โจทก์ตกลงไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทเป็นการมิชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4967/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการชำระหนี้ค่าซื้อขายที่ดิน ศาลวินิจฉัยประเด็นตามที่จำเลยยกขึ้นได้
จำเลยให้การอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้วเป็นการอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การที่ศาลชั้นต้นกำหนด ประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทหรือไม่ จึงแปลได้ว่า ถ้าหากการครอบครองที่พิพาทของจำเลยยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้ กรรมสิทธิ์ โจทก์ก็ยังเป็นเจ้าของที่พิพาทอยู่ แต่ถ้าหากการครอบครอง ที่พิพาทของจำเลยเข้าเกณฑ์ได้กรรมสิทธิ์โจทก์ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ ที่พิพาทอีกต่อไป ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382 ผลก็คือโจทก์ไม่ได้ เป็นเจ้าของที่พิพาทอีกต่อไปแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัย ตามประเด็นข้อพิพาท ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 326 เพียงแต่ให้สิทธิแก่ผู้ชำระหนี้ในอันที่จะเรียกร้องให้ผู้รับชำระหนี้ออกใบเสร็จให้เท่านั้น ไม่ได้เป็นบทบังคับ ประกอบกับคดีมีปัญหาในเรื่องการชำระหนี้ค่าซื้อขายที่ดินซึ่งกฎหมายไม่ได้บังคับว่าการชำระหนี้ในเรื่องดังกล่าวนี้จะต้องมีใบเสร็จมาแสดงดังนี้แม้จำเลยจะไม่มีใบเสร็จมาแสดง จำเลยก็ย่อมมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบถึงการชำระหนี้ดังกล่าวนี้ได้เพราะไม่มี กฎหมายบัญญัติห้ามไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3405/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาชี้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีครอบครองปรปักษ์ ไม่ถือเป็นการพิพากษาเกินคำร้องขอ
แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะพิพากษาให้ผู้คัดค้านทั้งหกชนะคดีแต่ผู้คัดค้านทั้งหกฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าพิพากษาเกินคำร้องขอของผู้ร้อง ซึ่งไม่มีผลผูกพันผู้คัดค้านทั้งหก ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งหกจึงเป็นฎีกาที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ว่าพิพากษาไม่ถูกต้องตรงตามประเด็นและผลของคำพิพากษาทำให้เสียสิทธิของผู้คัดค้านทั้งหก ผู้คัดค้านทั้งหกจึงมีสิทธิฎีกาได้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้อง ผู้คัดค้านทั้งหกคัดค้านว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้คัดค้านทั้งหกมิใช่เป็นของผู้ร้องผู้ร้องเป็นเพียงผู้อาศัย คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงไปด้วยว่าที่ดินพิพาทฟังไม่ได้ว่าห.ได้ยกให้ท. กับ ล.และมิได้ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ที่ดินพิพาทจึงเป็นมรดกของ ห. ตกทอดได้แก่ทายาทรวมทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 4 และส.ซึ่งเป็นบุตรของ ท.ซึ่งมีสิทธิเข้ารับมรดกแทนที่ ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยพยานหลักฐานของผู้คัดค้านทั้งหกที่นำสืบหักล้างพยานหลักฐานของผู้ร้อง อันเป็นการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในคดีประกอบเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีนั้น หาใช่เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาเกินคำร้องขอของผู้ร้องไม่ เมื่อคำวินิจฉัยในส่วนนี้มิใช่การฟังข้อเท็จจริงในประเด็นข้อพิพาทโดยตรงแล้วย่อมไม่มีผลผูกพันผู้คัดค้านทั้งหกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ผู้คัดค้านทั้งหกอุทธรณ์และฎีกาโดยเพียงแต่มีคำขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 และศาลฎีกาพิพากษาว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นบางส่วนไม่มีผลผูกพันผู้คัดค้านทั้งหก ไม่ได้ขอให้ผู้คัดค้านทั้งหกชนะคดีโดยเห็นด้วยในผลของคำพิพากษาที่ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องจึงเป็นอุทธรณ์และฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ตามตาราง 1 ท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (3)(ก)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2891/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำและอำนาจฟ้อง: การย้อนสำนวนเพื่อวินิจฉัยประเด็นที่ยังไม่ได้ตัดสิน
ระหว่างนัดสืบพยานโจทก์ในคดีก่อน โจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่มีความประสงค์จะดำเนินคดีนี้กับจำเลยอีกต่อไป ขอถอนฟ้อง จำเลยแถลงไม่คัดค้าน ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้อง มีความหมายเพียงว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยสำหรับคดีนั้นเท่านั้น หาอาจแปลไปว่าโจทก์จะไม่ฟ้องคดีใหม่กับจำเลยอีก ทั้งมิใช่เป็นการถอนฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังนั้น การถอนฟ้องในคดีก่อนไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์หมดไป โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ใหม่ได้ภายในอายุความ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยอ้างเหตุต่างกัน กล่าวคือ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ ส่วนศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ แต่ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ดังนี้เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่สำหรับปัญหาข้ออื่นซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ได้แก่เรื่องอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่จำเลยค้างค่ากระแสไฟฟ้า และโจทก์มีสิทธิเรียกค่ากระแสไฟฟ้าจากจำเลยตามฟ้องหรือไม่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ย่อมมีอำนาจยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นที่ยังเหลืออยู่ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1822/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความภาระจำยอม & ศาลวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายได้เอง แม้จำเลยไม่ได้ยกขึ้น
ปัญหาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกขึ้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญที่จะให้ศาลบังคับให้ได้โดยถูกต้องนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยให้ ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์สู่ทางสาธารณะเป็นทางเกวียน แต่ในเวลาต่อมาโจทก์ไม่ได้ใช้ทางนี้เป็นทางเกวียนผ่านเข้าออกเป็นเวลานามถึง 10 ปี แล้วคงใช้เป็นทางสำหรับคนเดินภาระจำยอมไม่ว่าจะได้มาโดยนิติกรรมหรือโดยอายุความที่เป็นทางเกวียนดังกล่าว ย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 อายุความได้สิทธิหรือเสียสิทธิภาระจำยอมมิใช่อายุความฟ้องร้อง ฉะนั้นปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าภาระจำยอมสิ้นไปแล้วโดยอายุความ ศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5407/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องขับไล่ใหม่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ หากประเด็นต่างจากคดีเดิมที่ศาลวินิจฉัยแล้วว่าไม่ใช่บริวาร
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยออกจากที่ดิน ในฐานะเป็นบริการของ ส. เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของ ส. โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ในฐานละเมิดสิทธิในที่ดินของโจทก์ประเด็นแห่งคดีต่างกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4032/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องซ้ำต้องห้าม: ศาลวินิจฉัยแล้วว่าผู้ร้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิด จึงยกคำร้อง
ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางต่อศาลชั้นต้นแล้วศาลชั้นต้นฟังว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลาง แต่ฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องไม่มีส่งนรู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิด จึงยกคำร้องและคดีถึงที่สุด แล้วผู้ร้องมายื่นคำร้องครั้งใหม่ได้อ้างเหตุอย่างเดียวกันกับในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงเป็นการรร้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4032/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องขอคืนรถยนต์ของกลางซ้ำ ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการร้องซ้ำตามกฎหมาย
ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางต่อศาลชั้นต้นแล้วศาลชั้นต้นฟังว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางแต่ฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิด จึงยกคำร้องและคดีถึงที่สุด แล้วผู้ร้องมายื่นคำร้องครั้งใหม่ได้อ้างเหตุอย่างเดียวกันกับ ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงเป็นการร้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ประกอบ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14
of 23