พบผลลัพธ์ทั้งหมด 195 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การโต้เถียงก่อนเกิดเหตุและการสมัครใจวิวาท
การที่จำเลยพูดโต้เถียงกับผู้ตายอันเป็นทำนองท้าทายผู้ตายแสดงว่าจำเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย เมื่อจำเลยยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจึงไม่สามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ การลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำผิด เมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยแล้วก็จำต้องลดให้ทุกกระทงความผิดแม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตามแต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อแรก ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวิวาทโดยมีอาวุธและการเจตนาฆ่า: ป้องกันตัวใช้ไม่ได้
แม้จำเลยจะมีพวกน้อยกว่า แต่จำเลยกับพวกมีทั้งอาวุธปืนและอาวุธมีด น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกไม่ได้เกรงกลัวโจทก์ร่วมกับผู้เสียหาย การทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเป็นการสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจอ้างเรื่องป้องกันตัวมาเป็นข้อต่อสู้ได้ แม้ว่าในระหว่างวิวาทกันนั้นจำเลยอาจเพลี่ยงพล้ำไปบ้างก็ตาม และกรณีที่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายฝ่ายหนึ่ง และจำเลยกับพวกอีกฝ่ายหนึ่งได้เกิดวิวาททำร้ายกัน และจำเลยใช้อาวุธปืนพกที่ติดตัวไปยิงโจทก์ร่วมกับพวกและใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายเช่นนี้เป็นคนละกรณีกับเรื่องชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปเพราะกรณีดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ใดร่วมกับใครทำร้ายโจทก์ร่วมและการที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงโจทก์ร่วมกับพวก กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมและพลาดไปถูกผู้อื่น ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์ต้องเจตนาพาไปโดยไม่สมัครใจ การอยู่กินฉันสามีภริยาโดยสมัครใจไม่ถือเป็นความผิด
เด็กหญิงว.ไปที่บ้านของจำเลยเองและช่วยจำเลยทำขนมที่บ้านมารดาจำเลยทราบว่าได้เสียกับจำเลย แล้วจึงยอมให้อยู่บ้านกับจำเลยฉันสามีภริยาดังนี้เป็นเรื่องเด็กหญิงว. ต้องการเป็นภริยาจำเลยและสมัครใจไปจากบิดามารดาเอง จำเลยไม่ได้พรากเด็กหญิงว. ไปจากบิดามารดาผู้ปกครองจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพรากผู้เยาว์และการให้รอการลงโทษในคดีชู้สาว โดยคำนึงถึงความสมัครใจของผู้เยาว์และประโยชน์ที่ได้รับ
ผู้เยาว์อายุ 14 ปีเศษ ไปที่บ้านจำเลยเอง มารดาจำเลยทราบว่าได้เสียกับจำเลยแล้ว จึงยอมให้อยู่บ้านจำเลยฉันสามีภริยา เป็นเรื่องที่ผู้เยาว์ต้องการเป็นภริยาจำเลยและสมัครใจไปจากบิดามารดาจำเลยไม่ได้พรากผู้เยาว์ไปจากบิดามารดา จึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร บิดามารดาผู้เยาว์หย่าขาดจากกัน มารดาผู้เยาว์มีสามีใหม่ย่อมเป็นเหตุให้ผู้เยาว์ขาดความรักและความอบอุ่น เมื่อพบจำเลยก็มีความรักถึงกับยอมให้จำเลยร่วมประเวณีและสมัครใจไปอยู่กับจำเลยเพื่อเป็นภริยา จำเลยเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยา จนผู้เยาว์มีอายุ 17 ปีเศษ สามารถทำการสมรสกับจำเลยตามกฎหมายได้ เมื่อคำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้เยาว์ได้รับ และเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาแก่สังคมในภายหน้า จึงควรรอการลงโทษจำเลยเพื่อให้โอกาสประพฤติตนเป็นพลเมืองดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จเรื่องข่มขืน ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นการกลั่นแกล้งและมีเหตุผลเชื่อว่าเป็นการร่วมประเวณีโดยสมัครใจ
จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ร่วมข่มขืนกระทำชำเราจำเลยนั้น เป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องพักของโรงแรมไม่มีผู้ใดรู้เห็น เมื่อโจทก์ร่วมกับจำเลยเบิกความโต้แย้งกันอยู่ จึงต้องฟังเหตุผลและพยานพฤติเหตุแวดล้อมประกอบกัน เมื่อพนักงานโรงแรมเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุตนเองเป็นผู้บริการเปิดม่านรูดให้โจทก์ร่วมและจำเลยขับรถเข้าไปจอดในโรงแรม และเปิดม่านรูดเมื่อรถยนต์ของโจทก์ร่วมและจำเลยจะออกไป จำเลยมิได้ร้องขอความช่วยเหลือประกอบกับข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมมิได้ใช้กำลังบังคับหรือใช้อาวุธขู่เข็ญจำเลยเพราะจะร่วมประเวณี พฤติการณ์ดังกล่าวจึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยร่วมประเวณีกันโดยสมัครใจ เมื่อจำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในเวลาต่อมาว่าโจทก์ร่วมข่มขืนกระทำชำเราจำเลย จึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4903/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพและพยานหลักฐานแวดล้อมในการพิสูจน์ความผิดฐานปล้นทรัพย์
การที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนกับนำชี้สถานที่ต่าง ๆ ที่ระบุในคำให้การโดยความสมัครใจ ทั้งมีพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีว่า จำเลยที่ 3 นำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นยึดเหรียญหลวงปู่แหวนของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกปล้นไปคืนได้จากบ้านจำเลยที่ 3 เช่นนี้ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้อง
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย คงมีแต่คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี แต่คำให้การรับสารภาพดังกล่าวของจำเลยที่ 3 ก็อาจใช้ยันจำเลยที่ 3 ในชั้นพิจารณาได้ หากมีพยานหลักฐานพอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจและตามความสัตย์จริง
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย คงมีแต่คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี แต่คำให้การรับสารภาพดังกล่าวของจำเลยที่ 3 ก็อาจใช้ยันจำเลยที่ 3 ในชั้นพิจารณาได้ หากมีพยานหลักฐานพอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจและตามความสัตย์จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4110/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย: ข้อโต้แย้งเรื่องข้อเท็จจริงข่มขืนกระทำชำเรา และการยอมรับสมัครใจของผู้เสียหายในข้อหาพรากผู้เยาว์
ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ส่วนความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายสมัครใจไปกับจำเลยเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ไม่เข้าข่ายพรากเด็กเพื่อการอนาจาร หากเด็กไปโดยสมัครใจ
เด็กหญิงม. อายุ 14 ปี รักใคร่ฉันชู้สาวกับจำเลยมาก่อนและสมัครใจไปกินอยู่หลับนอนกับจำเลยซึ่งยังไม่มีภรรยาที่บ้านญาติจำเลยเป็นเวลาประมาณ 1 เดือนเศษ และได้เสียกับจำเลยหลายครั้ง เมื่อบิดามารดาตามไปพบบอกให้เด็กหญิงม.ไปเรียนหนังสือต่อ เด็กหญิงม.ก็ยอมกลับบ้านโดยมีจำเลยติดตามมาด้วย มารดาจำเลยมาสู่ขอเด็กหญิงม.แต่ตกลงกับบิดาเด็กหญิงม.เรื่องค่าสินสอดกันไม่ได้การกระทำของจำเลยไม่เป็นพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2989/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งสัญชาติโดยสมัครใจและการไม่โต้แย้งสิทธิ ทำให้ไม่มีอำนาจฟ้อง
บิดามารดาโจทก์ทั้งหกแจ้งการเกิดของโจทก์ทั้งหกต่อสำนักงานกิจการญวนอพยพด้วยความสมัครใจมิได้ถูกผู้ใดบังคับให้ไปแจ้งและบิดาพาโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ไปทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพก็โดยเข้าใจเอาเองว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นคนญวนอพยพโดยมิได้มีผู้ใดบังคับเช่นกัน ส่วนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีประกาศให้คนญวนอพยพไปแจ้งต่อสำนักงานกิจการญวนอพยพนั้น ก็เป็นประกาศที่มีลักษณะเป็นการทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่คำสั่งเฉพาะเจาะจงบังคับให้โจทก์ทั้งหกไปทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพ เหตุที่มีชื่อโจทก์ทั้งหกในทะเบียนบ้านญวนอพยพก็เนื่องจากบิดาของโจทก์ทั้งหกไปแจ้งต่อนายทะเบียนบ้านญวนอพยพอุบลราชธานีจำเลยที่ 3 ว่า โจทก์ทั้งหกเป็นคนญวนอพยพโดยเข้าใจเอาเองว่าโจทก์ทั้งหกเป็นคนญวนอพยพมิใช่เกิดจากการกระทำของผู้อำนวยการสำนักงาน 114 อุบลราชธานีจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ที่เพิ่มชื่อโจทก์ทั้งหกในทะเบียนบ้านญวนอพยพโดยพลการ ทั้งโจทก์ทั้งหกก็ไม่เคยโต้แย้งต่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่าโจทก์ทั้งหกมิใช่คนญวนอพยพ จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งหกโจทก์ทั้งหกจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1420/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดูหมิ่นซึ่งหน้าต้องเป็นการกระทำฝ่ายเดียว หากต่างฝ่ายต่างดูหมิ่นโต้ตอบกัน ไม่เป็นความผิด
การที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นซึ่งหน้าโดยมิใช่เป็นการกระทำของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นการที่ทั้งสองฝ่ายต่างสมัครใจกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นซึ่งหน้าโต้ตอบซึ่งกันและกันดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 จำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง.